วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

"ฟักข้าว" ต้านมะเร็ง-ชะลอแก่



ความชรามาแน่ๆ แต่เราสามารถชะลอให้มาช้าๆ ได้ด้วยผักผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ไม่ต้องไปบินไปหาผลเบอร์รีถึงเมืองนอกเมืองนา เพราะผักพื้นบ้านของไทยเรามีอยู่มากมายที่ช่วยต้านโรคและต้านความชราได้ และที่กำลังเป็นน้องใหม่มาแรงของวงการตอนนี้คือ "ฟักข้าว" หรือ "แก๊กฟรุต" นั่นเอง

ในปัจจุบันเริ่มมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากฟักข้าวจำหน่ายในท้องตลาด หรือรู้จักกันในนาม "แก๊กฟรุต" (GAC fruit) ซึ่ง น.ส.จันทร์แรม แสนคำ นักศึกษาปริญญาโท ภาควิชาชีวเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า ฟักข้าวเป็นผักพื้นบ้านของไทยอยู่ในตระกูลเดียวกับมะระ เป็นไม้เลื้อยที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งชาวบ้านทางภาคเหนือและอีสานนิยมนำส่วนยอดและผลอ่อนของฟักข้าวมาปรุงอาหารรับประทานกันในรูปแบบต่างๆ แต่ไม่นิยมรับประทานผลสุก จึงมักมีผลแก่เหลือเป็นจำนวนมาก

"มีรายงานการวิจัยในต่างประเทศหลายฉบับระบุว่าผลฟักข้าวมีสารไลโคพีน (Lycopene) สูงกว่าในมะเขือเทศ 70-100 เท่า ซึ่งสารนี้ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก และมีแคโรทีน (carotene) มากกว่าแครอท 10 เท่า และมีรายงานด้วยว่าชาวเวียดนามนิยมบริโภคฟักข้าวมากที่สุด โดยนำส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดในผลแก่มาผสมกับข้าวสารแล้วนำไปหุงรับประทาน สามารถช่วยบำรุงสายตา แก้ปัญหาการมองไม่เห็นในช่วงกลางคืนได้ แต่ในฟักข้าวนั้นยังมีสารอื่นๆ อีหลายชนิดที่มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เช่นกัน" น.ส.จันทร์แรม กล่าว

ทั้งนี้ น.ส.จันทร์แรม ได้ร่วมกับฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ทำการศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากฟักข้าวในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุทำให้เซลล์เสื่อมสภาพและเกิดโรคต่างๆ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนภายใต้โครงการสร้างภาคีในการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาโท-เอก ของ วว. โดยนำผลสุกของฟักข้าวมาแยกเป็นส่วนเนื้อ เปลือก และเยื่อหุ้มเมล็ด แล้วแยกสกัดด้วยน้ำและเอทานอลที่ความเข้มข้นต่างๆ

จากนั้นตรวจสอบสารทางเคมีด้วยวิธีทินเลเยอร์โครมาโทกราฟี (TLC) พบว่ามีเบต้าแคโรทีน แอลฟาโทโคฟีรอล (รูปแบบหนึ่งของวิตามินอีในธรรมชาติ) และโทโคฟีรอลในรูปแบบอื่นๆ อีกจำนวนมาก อยู่ในส่วนที่สกัดด้วยเอทานอล 95% ทั้งสามส่วน และเมื่อนำไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยเทคนิคโฟโตเคมิลูมิเนสเซนส์ (PCL) พบว่าสารสกัดจากเปลือกที่สกัดด้วยเอทานอล 95% มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดสำหรับกลุ่มสารที่ละลายไขมัน และสารสกัดจากเยื่อหุ้มเมล็ดที่สกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดสำหรับกลุ่มสารที่ละลายในน้ำ

จากผลการวิจัยข้างต้นนั้นสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากฟักข้าวได้ โดยหลังจากนี้ทีมนักวิจัยจะดำเนินการทดสอบความเป็นพิษ ศึกษาฤทธิ์ต้านการทำลายดีเอ็นเอ ศึกษาฤทธิ์การก่อการกลายพันธุ์ของสารสกัดจากผลฟักข้าว เพื่อให้ได้ข้อมูลทางวิชาการที่ครบถ้วนและครอบคลุมทั้งสองด้าน

อย่างไรก็ดี ดร.ประไพภัทร คลังทรัพย์ นักวิชาการฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. ซึ่งร่วมในการวิจัยครั้งนี้

ด้วย เปิดเผยแก่ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ว่า มีการบริโภคฟักข้าวเป็นผักพื้นบ้านกันมานานแล้ว จึงไม่น่าห่วงว่าจะมีอันตรายใดๆ หากนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ แต่ต้องศึกษาเพิ่มเติมถึงวิธีการสกัดหรือแปรรูปฟักข้าวที่เหมาะสมและคุ้มค่าต่อการผลิตในระดับอุตสาหกรรม รวมถึงการเก็บรักษาสารสำคัญให้คงตัวอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้นานพอควร ซึ่งคาดว่าภายในปีหน้าน่าจะมีผลิตภัณฑ์จากฟักข้าวในกลุ่มของอาหารออกมาเป็นต้นแบบ และหากมีการต่อยอดเชิงพาณิชย์ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลสุกของฟักข้าวที่ไม่มีใครนำไปรับประทานได้เป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ การศึกษาวิจัยฤทธิ์ของสารสกัดจากฟักข้าวในการต้านอนุมูลอิสระนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพชะลอความชราจากสารต้านอนุมูลอิสระในผักพื้นบ้าน ผักไฮโดรโปนิกส์ และพืชตระกูลถั่ว ของ วว. ที่มีกำหนดระยะเวลาโครงการไว้ในระหว่างปี 2552-2555


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

"บริหารสมอง" ก่อนความจำเลือนหาย


"บริหารสมอง" ก่อนความจำเลือนหาย

เชื่อได้เลยว่า "อาการหลงๆ ลืมๆ" คงจะเคยเกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ บางครั้งต้องการไปหยิบของบางอย่าง แต่พอเดินไปหาของกลับจำไม่ได้ว่าต้องการอะไร ซึ่งเป็นเรื่องของความจำในระยะเวลาสั้น หรือบางคนทำงานจนเกิดอาการเบลอ ขี้ลืมจนกลายเป็นเรื่องปกติ หากเกิดขึ้นบ่อยๆ จนเป็นนิสัยก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มักพบอาการนี้ จนก่อให้เกิดเป็น "โรคความจำเสื่อม" ได้

กับเรื่องนี้ "นภาพร ฤทธิวีระกูล" หรือ "พี่หน่อย" หน่วย พัฒนาสุขภาพ ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า หลายคนคิดว่าโรคความจำเสื่อมเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ก็ถือว่าเป็นโรคที่สามารถคุกคามการใช้ชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ระบบต่างๆ ในร่างกายเริ่มเสื่อมลง ถึงแม้ว่าตามธรรมชาติจะมีการพัฒนาสมองตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็ตาม แต่สมองของมนุษย์มีการทำงาน โดยแบ่งเป็น 2 ซีก ระหว่างซ้ายกับขวา เมื่อเราทำงานหรือทำกิจกรรมที่ออกแรงไปในข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย ก็อาจส่งผลให้มีบุคลิกภาพในการเคลื่อนไหวที่ไม่ดี รวมไปถึงเรื่องความคิด ความจำของสมองแต่ละซีกให้มีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง

อย่างที่ทราบกันดีว่า สมองซีกซ้ายจะควบคุมการทำงานของร่างกายด้านขวา ส่วนสมองซีกขวาจะควบคุมการทำงานของร่างกายด้านซ้าย ขณะเดียวกันสมองจะแบ่งการทำงานออกเป็นระบบความจำ ระบบของประสาทการรับความรู้สึก ระบบการเคลื่อนไหวของร่างกาย ระบบการมองเห็น ระบบการควบคุมด้านอารมณ์และภาวะของจิตใจ ดังนั้นการบริหารสมองจึงเป็นการเสริมสร้างระบบการทำงานให้ปรับความสมดุลของ ร่างกายทั้งสองด้าน หากไม่มีการบริหารสมองเราจะเกิดความเคยชินตามร่างกายด้านที่มีความถนัดด้าน ใดด้านหนึ่งเท่านั้น ทำให้สมองอีกซีกไม่มีการพัฒนา

สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ควรมีการบริหารสมอง ส่วนใหญ่จะเป็นในผู้สูงอายุที่หลงๆ ลืมๆ ความ สามารถในการจำลดน้อยลง คือความจำในระยะเวลาสั้นๆ จะทำได้ดี แต่ความจำในระยะเวลาที่ยาวจะทำได้ไม่ดีมากนัก หรือบางคนอาจจำอะไรไม่ได้เลย ซึ่งการบริหารสมองจะเป็นการกระตุ้นเซลล์ประสาทในสมองให้มีการเชื่อมโยงและ ถ่ายทอดข้อมูลแก่กันทั้งซีกซ้ายและซีกขวา เพราะปกติเซลล์สมองของแต่ละคนมีมากกว่า 1 ล้านเซลล์ แม้ว่าการบริหารสมองจะไม่ได้ช่วยให้เซลล์สมองทั้งหมดเกิดการทำงานที่มี ประสิทธิภาพได้ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันทั้งระบบของสมอง ทำให้เกิดการสร้างกระบวนการคิดวิเคราะห์ที่ดีได้

ทั้งนี้ การเริ่มบริหารสมองตั้งแต่เด็กเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการช่วยชะลออาการหลง ลืมเมื่อเข้าสูวัยชรา หากมีการบริหารอย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายมีพัฒนาการที่ดีขึ้นและการทำงาน ของระบบต่างๆ ในร่างกายก็ดีขึ้นตาม พี่หน่อยบอกเคล็ดลับการบริหารสมองเพื่อให้สมองทั้งสองซีกทำงานไปพร้อมๆ กันว่า เริ่ม จากการกระตุ้นเซลล์สมองด้วยการดื่มน้ำสะอาด หรือค่อยๆ จิบทีละนิด หากร่างกายขาดน้ำจะทำให้เลือดไม่ไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของสมอง ส่งผลให้การบริหารสมองไม่ประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้การบริหารสมองไม่ควรทำในช่วงเวลาที่อิ่มหรือหิวเกินไป ขณะที่ทำการบริหารสมองต้องทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ควบคุมการหายใจ โดยให้การหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ

ขั้นตอนที่ 1 กระตุ้น การทำงานของเซลล์สมอง ระบบการรับความรู้สึก โดยจะเลือกบริหารที่เป็นปุ่มของเซลล์สมองซึ่งจะอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น บริเวณขมับ โดยใช้ปลายนิ้วมือกดเบาๆ ตรงขมับทั้ง 2 ข้าง จากนั้นนวดเป็นวงกลมประมาณ 1 นาที ซึ่งวิธีนี้จะกระตุ้นกระบวนการคิดสร้างสรรค์ และอีกส่วนหนึ่งที่ควรบริหารอยู่บริเวณกระดูกไหปลาร้า ใช้วิธีการนวดเป็นวงกลมเหมือนกันแต่จะสลับข้างกัน โดยใช้มือซ้ายกดเบาๆ บริเวณปุ่มกระดูกไหปลาร้าด้านขวา ส่วนอีกมือจะวางไว้บริเวณหน้าท้อง จากนั้นก็ทำสลับข้างกันจนกว่าจะรู้สึกว่าผ่อนคลาย

ขั้นตอนที่ 2 เป็นการบริหารการเคลื่อนไหวร่างกายแบบสลับข้าง ด้วยการวิ่งที่ให้เท้ากับแขนเคลื่อนไหวสลับกัน เช่น ถ้าเริ่มก้าวเท้าขวา ดังนั้นแขนซ้ายก็จะแกว่งตาม หรืออาจบริหารแบบเบาๆ โดยการย่ำเท้าอยู่กับที่ประมาณ 2-3 นาที รวมถึงวิธีการบริหารสมองจากการนับเลขแบบสลับข้างด้วยการนับเลขที่มือ เช่น ถ้ามือข้างช้ายนับ 1 มือข้างขวาก็จะนับ 2 และก็ทำสลับกันไปเรื่อยๆ ตามต้องการ ทั้งนี้การบริการสมองแบบสลับจะช่วยให้กระบวนการทำงานของสมองจะเกิดการสมดุล

ขั้นตอนที่ 3 เป็นการคลายความตึงของเส้นประสาท โดยยืดส่วนต่างๆ ของร่างกายให้ตึง เช่น การยืดแขน ยืดขา และการผ่อนคลายสมองด้วยการใช้นิ้วมือนวดเคาะตั้งแต่หน้าผากไปจนทั่วศีรษะ ซึ่งท่านี้จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี


อย่างไรก็ตาม พี่หน่อยแนะนำและฝากทิ้งท้ายว่า การ บริหารสมองสำหรับผู้สูงอายุควรเน้นเป็นท่าที่ง่ายๆ ไม่หักโหมร่างกายจนเกินไป ผู้สูงอายุที่มีโรคความดันสูงควรหลีกเลี่ยงการทำท่าที่ต้องก้มหรือลุกขึ้น ยืนเร็วๆ เพราะอาจจะทำให้หน้ามืดได้ ทางที่ดีหากไม่มั่นใจหรือผู้สูงอายุบางคนที่ทรงตัวได้ไม่ค่อยดีก็สามารถนั่ง ทำได้ การบริหารสมองควรทำอย่างต่อเนื่องทุกวันและสามารถทำได้ตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ ไปจนถึงผุ้สูงอายุ ซึ่งเป็นกิจกรรมภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าเด็กๆ มีการบริหารสมองร่วมกับคุณตาคุณยาย นอกจากจะช่วยให้สมองเกิดพัฒนาการ ยังช่วยให้ผู้สูงอายุในบ้านจดจำท่าในการบริหารสมองได้และช่วยให้ท่านมี สุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างความรักความอบอุ่นในครอบครัวอีกด้วย

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

อยู่อย่างไรหลังเกษียณ

ถ้าการทำงานคือการก้าวย่างสู่โลกใหม่ของเด็กที่เพิ่งจบการศึกษา ชีวิตหลังเกษียณก็คงจะเป็นการก้าวสู่โลกใหม่อีกโลกหนึ่งเหมือนกันสำหรับคนที่มีอายุ 60 ปี และกำลังจะเดินไปถึงจุดนั้นในปลายเดือนกันยายนที่จะมาถึงนี้

มีใครสักคนบอกไว้ว่า บางครั้งแรงบันดาลใจเล็กๆอาจนำมาซึ่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ขอเพียงคุณกล้าที่จะเริ่มต้นนับหนึ่งจากก้าวเล็กๆที่ละก้าว ในที่สุดมันอาจนำมาซึ่งสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตของคุณและอีกหลายๆคน เช่นเดียวกับผม

สิ่งที่ยากที่สุด ก่อนที่ผมเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงชีวิต เพื่อให้หลุดพ้นจากหายนะที่มาจากปัญหาเรื่องเงินๆทองๆ คือ การเอาชนะจิตใจตัวเองให้มีความกล้า ขอเพียงอย่ากลัวที่จะเริ่มก้าวเดินออกไป ก้าวลงสู่สนาม เล่นด้วยตัวเอง

ขอเพียงเปลี่ยนมุมมองของความคิด คิดบวกให้เป็น ฝันให้ยิ่งใหญ่ และศรัทธาในสิ่งนั้นถึงแม้ระหว่างทางจะมีอุปสรรค แต่ อุปสรรคไม่ใช่ร่องรอยแห่งความล้มเหลว แต่เป็นริ้วรอยแห่งความสำเร็จ

หากคุณมุ่งมั่นในพันธะสัญญาทางจิตใจของคุณ เมื่อชีวิตของคุณก้าวเดินมาถึงจุดหนึ่ง ความสุขในชีวิตจะเกิดขึ้นเมื่อคุณมีอิสรภาพทางการเงิน และเมื่อคุณมีการวางแผนเตรียมการให้กับชีวิตมาอย่างดีคุณจะสนุกกับชีวิตหลังเกษียณ เพราะรู้แน่ชัดแล้วว่า ชีวิตของการทำงานที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งชีวิต ควรจะมาถึงจุดที่จะพักผ่อน ปล่อยให้เงินที่เก็บหอมรอมริบมาอย่างมีวินัย ที่มีอยู่ใน “กองทุนเพื่อความมั่งคั่ง” เริ่มทำงานแทนเรา เพื่อช่วยให้มีชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุข

ต่างกับคนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่รู้จะวางตัวอย่างไร เมื่อต้องถอด “หัวโขน”ที่เคยใส่ไว้ บนตำแหน่งหน้าที่การงานในอดีต หลายคนปรับตัวเองไม่ได้ เมื่อไม่มีบริวารแวดล้อมเหมือนเมื่อก่อน พยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อไขว่คว้าหาตำแหน่งใหม่รองรับ เพราะรู้สึกตัวเองยังมีคุณค่า และกลัวที่จะไม่สนุกกับชีวิตหลังเกษียณที่ดูเหมือนเป็น”คนไร้ค่า”ในสังคม ไม่อยากกลับไปนั่งเลี้ยงหลาน หรือ ปลูกต้นไม้ เลี้ยงปลา หรือหางานอดิเรกอื่นๆทำ

สำหรับคนที่ก้าวเดินมาตามเส้นทางของการเปลี่ยนแปลงชีวิต นอกเหนือไปจากการเตรียมพร้อมในเรื่องของเงินๆทองๆเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ต้องพึ่งลูกหลานจนรู้สึกเป็นภาระหรือ “กาฝาก”ของสังคมแล้ว ถ้าไม่อยากลำบากผมอยากแนะนำให้เตรียมความพร้อมอีก 2 เรื่องเอาไว้แต่เนิ่นๆอีกด้วย คือ เรื่องที่อยู่อาศัยและ สุขภาพ

สิ่งที่หลายคนมักจะลืมนึกไปถึง คือการเตรียมความพร้อมเรื่องที่พักอาศัย เพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามวัย ซึ่งควรจะโยกย้ายมาอยู่ที่ชั้นล่างของบ้านเพื่อความสะดวก ทำให้คุณอาจจะต้องสร้างบ้าน หรือปรับปรุงบ้านใหม่ให้เรียบร้อยเสียตั้งแต่เนิ่นๆ

ขณะเดียวกัน ควรมีการเตรียมความพร้อมเรื่องสุขภาพ โดยมั่นใจว่า มีการเตรียมหลักประกันด้านสุขภาพเอาไว้อย่างดี ซึ่งหากไม่มีหลักประกันที่ได้รับจากภาครัฐ ก็ควรจะมีกรมธรรม์ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือ เลวร้ายที่สุดก็ต้อง มีการกันเงินบางส่วนเอาไว้เวลาฉุกเฉิน นอกเหนือจาก เงินต้นที่เราสะสมเอาไว้ในกองทุนเพื่อความมั้งคั่ง เพราะรายจ่ายที่สำคัญมากหลังเกษียณ คือ รายจ่ายในการดูแลสุขภาพ

ที่สำคัญคือ คุณต้องระมัดระวังที่จะไม่ปล่อยให้มีหนี้สิน หรือ ก่อหนี้สินใหม่ๆโดยเด็ดขาด เพราะต้องไม่ลืมว่า โอกาสในการหารายได้จากการทำงานของคุณนั้นแทบจะหมดลงแล้ว คุณจึงจำเป็นต้องใช้เงินที่คุณได้ออมและลงทุนเอาไว้ทั้งหมดเพื่อเลี้ยงชีพในแต่ละเดือน และยังต้องมีเม็ดเงินเหลือมากพอที่จะปล่อยให้เงินทำงานแทนเราต่อไป

สำหรับบางคนที่เป็นอาจจะอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง จากประสบการณ์ที่หล่อหลอมมาหลายสิบปีของการทำงาน มันอาจจะทำให้ คุณยังมีคุณค่าพอที่จะมีบางองค์กรว่าจ้างเป็นที่ปรึกษา หรือผันตัวเองไปเป็นอาจารย์พิเศษในสถาบันการศึกษาบางแห่ง ซึ่งนอกจากจะเป็นงานอดิเรกที่น่าสนใจแล้ว ยังสามารถสร้างรายได้ให้อีกทางหนึ่งด้วย

บางคนอาจจะไม่ได้รับโอกาสแบบนั้น แต่หากคิดว่าตัวเองยังมีคุณค่า และอยากจะทำงานบางอย่างเพื่อตอบแทนให้กับสังคม ก็สามารถที่จะอุทิศเวลาบางส่วน เพื่อสนับสนุนองค์กรสาธารณะประโยชน์บางแห่ง ตามความถนัดของตัวเอง แต่หากเป็นคนที่ไม่ชอบสังคมก็อาจจะหันมาให้ความสนใจกับครอบครัว ลูกๆหลานๆมากขึ้น

นอกเหนือไปจาก การเตรียมความพร้อมในเชิงรูปธรรม ที่เราดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับ ความพร้อมในเรื่องเงินๆทองๆแล้ว สำหรับคนสูงวัย ก็ควรเตรียมความพร้อมในด้านจิตใจเอาไว้ด้วย

การเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้มีความสำคัญมาก เพราะคงไม่มีประโยชน์อะไร ถึงแม้จะมีความพร้อมทั้งในเรื่องเงิน แต่กลับต้องเป็น ผู้สูงวัยที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวในสังคม ไม่มีทั้ง คู่ชีวิต ญาติมิตร เพื่อนฝูงและบริวาร

หากเราเปรียบเทียบว่า เมื่อเราเกิดมา เรามีตัวเราเองเป็น “ทุน”ชีวิต และได้รับการหล่อหลอมอบรมดูแลมาโดยบุพพการี และครูบาอาจารย์ จนสามารถที่จะจบการศึกษาไปทำงานหาเลี้ยงชีพมาได้ จนชีวิตล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย

นอกเหนือจาก สินทรัพย์ในรูปของตัวเงินหรือทรัพย์สมบัติต่างๆ ที่ทำให้เราสร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของเรา เพื่อให้มีความมั่งคั่งในชีวิตได้แล้ว สินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดที่จะตดิ ตัวเราไปจนวันตายก็คือ สินทรัพย์ในด้านจิตใจ หรือ “บุญบารมี” ที่เราสะสมมาตลอดชีวิต จากการต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ที่เราต้องระวังรักษาไว้ให้ดี เพื่อเป็นทุนเอาไว้ใช้ในชาตินี้ หรือชาติหน้าหากมีจริง

สิ่งที่อันตรายอย่างมากสำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานของภาครัฐ หรือเอกชนก็ตาม ก็คือ “การเสียคนตอนแก่” เพราะบางครั้ง สสู้ ะสมความดีมาตลอดชีวิตของการทำงาน แต่เมื่อถึงบั้นปลายของชีวิต เนื่องจากไม่ได้เตรียมความพร้อมในเรื่องเงินๆทองๆเอาไว้ดีพอ ก็อาจจะตัดสินใจผิดๆ ทำร้ายชื่อเสียงของตัวเองลงไป เพียงเพราะหวังใน “ลาภ ยศ สรรเสริญ” ที่เป็นเพียง “มายา”ทำให้หลายคนอาจจะต้องสูญเสียชื่อเสียงในช่วงบั้นปลายของการทำงานอย่างน่าเสียดาย

สำหรับคนที่ยังไม่เกษียณอายุ แต่เหลือเวลาอีกไม่มากนัก นอกเหนือจากการเตรียมพร้อมในการสร้างความมั่งคั่งในเรื่องเงินๆทองๆ เพื่อให้มีอิสรภาพทางการเงินในช่วงบั้นปลายของชีวิตแล้ว อย่าลืมสร้างความมั่งคั่งให้กับจิตใจตัวเอง โดยการทำหน้าที่ของแต่ละคนให้ดีที่สุด เพื่อฝากผลงานของตัวเองเอาไว้ให้คนข้างหลังเขาได้กล่าวถึงอย่างชื่นชม ดีกว่าที่จะให้ใครต่อใครเขาสาปแช่งตามหลัง

การสะสมความดี ทั้ง คิดดี พูดดี และ กระทำดี ย่อมทำให้ เราเป็นที่รักของทุกๆคนที่ ยังไม่สายจนเกินไป หากจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองในเรื่องนี้ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมเรื่องเงินๆทองๆตั้งแต่วันนี้ ถึงแม้จะไม่มีใครมาตัดสิน แต่เราก็สามารถรับรู้ด้วยใจตัวเองเมื่อวันนั้นมาถึง

บางครั้งอิสรภาพทางการเงินที่เราได้มา อาจจะไม่มีความหมายเลย หากเรายังไม่สามารถจะก้าวไปถึงการมี อิสรภาพทางจิตใจ ที่สามารถปล่อยวางได้อย่างมีความสุข จริงไหมครับ!!!

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์
8 กันยายน 2553 13:12 น.

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตามไปดูผู้สูงอายุไทย วันนี้ท่านป่วยด้วยโรคอะไรกัน

มส.ผส.เผยผู้สูงอายุไทยสุขภาพไม่ดี ส่วนใหญ่มีปัญหาการมองเห็นและการได้ยิน 54.9 % มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ชี้ 3 โรคยอดฮิตของคนแก่ หัวใจและหลอดเลือด –ต่อมไร้ท่อ-ระบบกล้ามเนื้อกระดูกและข้อ ระบุคนแก่ 45.7% เข้ารับบริการโรงพยาบาลบัตรทอง แต่มี 15% เท่านั้น ที่เข้ารับบริการส่งเสริมสุขภาพ แนะวิธีดูแลตัวเอง กินอาหารมีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นตรวจเช็คร่างกายสม่ำเสมอ

พญ.ลัดดา ดำริการเลิศ ผู้จัดการแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีผู้สูงอายุ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอยุไทย (มส.ผส.) กล่าวว่า จากการรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย โดยสำนักงานสำรวจสุขภาพประชาชนไทย เรื่องการประเมินสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุ ในปี 2552-2553 จำนวน 9,195 ราย พบว่า ผู้สูงอายุร้อยละ 12.5 ประเมินว่าตัวเองสุขภาพไม่ดีหรือไม่ดีมาก ร้อยละ 48.4 ประเมินว่าตนเองสุขภาพดีหรือดีปานกลาง ส่วนร้อยละ 38.1 ประเมินว่าดีถึงดีมาก โดย ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องการมองเห็น และการได้ยิน จากการตรวจร่างกายพบว่า ผู้สูงอายุ 1 ใน 5 เป็นต้อกระจก โดยผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานครเป็นต้อกระจกสูงสุดร้อยละ 31.1 รองลงมาเป็นภาคใต้ร้อยละ 23 ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่ำสุดร้อยละ 16.8 ขณะที่ผู้สูงอายุ 1 ใน 3 มีปัญหาการได้ยินโดยผู้สูงอายุชายจะมีปัญหาการได้ยินสูงกว่าผู้สูงอายุหญิง

ในส่วนของการทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเอง เช่นการลุก นั่ง การขึ้นลงบันได การใช้ห้องสุขา การอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน การกินอาหาร ส่วนใหญ่ปฏิบัติเองได้ แต่มีปัญหาเรื่องการกลั้นปัสสาวะและอุจจาระ ร้อยละ 30 และ ร้อยละ 22.6 ขณะที่ความสามารถในการปฏิบัติกิจกรรมที่ซับซ้อน เช่น การใช้โทรศัพท์ พบว่ามีไม่ถึงครึ่งหนึ่ง หรือ ร้อยละ 46.7 เท่านั้น

พญ.ลัดดา กล่าวว่า สำหรับการสำรวจเรื่องสุขภาพ พบว่า ผู้สูงอายุมากกว่าครึ่งหนึ่ง คือร้อยละ 54.9 มี โรคเรื้อรังหรือโรคประจำตัว โดย 3 อันดับแรกที่ผู้สูงอายุเป็นกันมากคือ โรคหัวใจและหลอดเลือด รองลงมา โรคของต่อมไร้ท่อ และโรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและข้อ ตามลำดับ โดยในสองอันดับแรกมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนสาเหตุภายนอกที่ทำให้ผู้สูงอายุได้รับบาดเจ็บมากที่สุดคือการพลัดตกหกล้ม ร้อยละ 48.8 อุบัติเหตุอื่นๆ เช่นตกน้ำ ร้อยละ 13.2 และถูกสัตว์มีพิษกัด ต่อย หรือถูกสัตว์ทำร้าย ร้อยละ 9.4

“ผู้สูงอายุหกล้มง่ายกว่าวัยอื่น เนื่องจากภาวะความเสื่อมตามวัยของการมองเห็น ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ จากสถิติ ครึ่งหนึ่งของผู้สูงอายุที่หกล้มมักพิการเรื้อรังหรือเสียชีวิตภายใน 1 ปี”พญ.ลัดดากล่าว

พญ.ลัดดา กล่าวว่า นอกจากนี้ใน ส่วนของการเข้ารับบริการทางสุขภาพ พบว่า ผู้สูงอายุหญิงไปรับบริการมากกว่าผู้สูงอายุชาย โดยส่วนใหญ่ไปรับบริการเนื่องจากเป็นโรคเรื้อรังหรือโรคประจำตัวร้อยละ 53.7 รองลงมาเป็นอาการป่วย รู้สึกไม่สบาย ร้อยละ 44.6 และอุบัติเหตุ การถูกทำร้ายร่างกายร้อยละ 1.7 อย่างไรก็ตามนอกจากการรับบริการสุขภาพเนื่องจากความเจ็บป่วยแล้ว มีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้นที่รับบริการด้านการส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งถือว่าต่ำมาก

ส่วนสาเหตุการเข้าพักรักษาตัวในสถานพยาบาลส่วนใหญ่จากการเจ็บป่วยด้วยโรคร้อยละ 90.1และได้รับอุบัติเหตุร้อยละ 9.9 โดยสถานพยาบาลที่ผู้สูงอายุเลือกเข้ารับบริการคือโรงพยาบาลศูนย์หรือโรง พยาบาลทั่วไปร้อยละ 45.7 เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลที่ระบุในบัตรทอง หรือประกันสังคม รองลงมาเป็นโรงพยาบาลชุมชน ร้อยละ 37.8 และโรงพยาบาลเอกชนหรือโพลีคลินิกร้อยละ 9

พญ.ลัดดา กล่าวว่า ผู้สูงอายุมักมีปัญหาสุขภาพ เนื่อง จากระบบต่างๆในร่างกายย่อมเสื่อมสภาพลงตามวัย ดังนั้นผู้สูงอายุต้องดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ งดพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆที่มีผลต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเหล้าและบุหรี่ ออกกำลังกายอย่างถูกวิธี หมั่นตรวจเช็คร่างกายสม่ำเสมอ เพราะเมื่อตรวจพบสิ่งผิดปกติเมื่อไรก็จะสามารถแก้ไขหรือรักษาได้แต่เนิ่นๆ ที่สำคัญควรลดความเครียดในชีวิตประจำวัน หากิจกรรมที่ทำแล้วเพลิดเพลินและมีคุณค่าทางจิตใจ เช่นปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ จะรู้สึกมีคุณค่าและไม่เหงา

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ดูแลเส้นผมสำหรับคนวัย 40 ปีขึ้นไปชะลอความแก่


เมื่ออายุก้าวย่างเข้าสู่เลข 4 ซึ่งเป็นวัยที่ความร่วงโรยมาเยือน คุณแม่บ้านที่รักสวยรักงามเป็นชีวิตจิตใจคงจะลำบากใจไม่น้อย โดยเฉพาะปัญหาเรื่องเส้นผมที่เริ่มหลุดร่วง ไม่แข็งแรง แถมยังสะท้อนถึงสุขภาพภายในอีกด้วย วันนี้ทีมงาน Life & Family จะขออาสานำความรู้การดูแลเส้นผมของวัย 40+ มาเล่าสู่กันฟังค่ะ

ในงานเวิร์คช็อป "Looking Good สวยสั่งได้....สไตล์คุณ" ซึ่ง Rakluke Women ในเครือบริษัท รักลูกกรุ๊ป จำกัด ร่วมกับผลิตภัณฑ์ชิเซโด้ จัดขึ้นเพื่อเอาใจเหล่าบรรดาคุณแม่ยังสาวและแนะนำเคล็ดลับการดูแลเส้นผมให้มีสุขภาพดี งานนี้ได้ "เฉลิมผล พลรวมเงิน" ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผม จาก Shiseido Professional กล่าวให้ความรู้ว่า ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายไม่ใส่ใจในเรื่องการดูแลเส้นผมเลย เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ แต่ความเป็นจริงแล้วเส้นผมตัวถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากของร่างกายทั้งในด้านของความสวยงามและการบ่งบอกถึงการมีสุขภาพที่ดี

"เส้นผมของคนเรามีทั้งหมด 3 ชั้นคือ 1.เกล็ดผม (Cuticle), 2.เนื้อผม (Cortex) และ3.แกนผม (Medulla) ประกอบด้วยโปรตีน เมลานิน เคราติน น้ำและน้ำมัน หากพบปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมแสดงว่าร่างกายกำลังขาดสารอาหารดังกล่าว วัยเลข 4 ก็เป็นกลุ่มเสี่ยงที่พบปัญหาเรื่องเส้นผมเป็นอันดับต้นๆ และปัญหาส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นผมหงอกก่อนวัยอันควร เกิดจากพันธุ์กรรมหรือการทำงานผิดปกติของเมลาโนไซท์, ผมบาง เกิดจากการไม่ดูแลเอาใจใส่, ผมร่วง เป็นความผิดปกติของฮอร์โมนและการควบคุมน้ำมันในร่างกาย นอกจากนั้นยังพบปัญหาเรื่องรังแคและอาการคันหนังศีรษะ เกิดจากการแยกตัวของไขมันหรือชั้นไขมันในเส้นผมเร็วกว่าปกติ มีเชื้อราและแบคทีเรียสะสม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคเชื้อราบนหนังศีรษะ และส่งผลให้เกิดโรคเชื้อราเรื้อรังได้"

นอกจากนั้น บางคนนิยมทำสีผม เพื่อกลบเกลื่อนผมหงอก ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ตรงจุด ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมรายนี้บอกว่า ถึงแม้จะใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพดีมากแค่ไหนให้การทำสีผม เพื่อลดปัญหาของผมหงอกก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี เพราะมันเป็นเรื่องของวัยด้วยและการทำสีผมไม่ได้ช่วยทำให้เส้นผมสุขภาพดีขึ้นเลย ตรงกันข้ามจะทำให้ผมเสียมากกว่าเดิม อีกทั้งยังทำให้มีสารเคมีตกค้างบนหนังศรีษะอีกด้วย

"การชะลอความหงอกและแก้ไขปัญหาอื่นๆ ของเส้นผมสามารถทำได้ โดยการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตประจำวันให้อยู่สภาวะปลอดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะความเครียดเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดปัญหาของเส้นผม และควรดูแลเรื่องการรักษาความสะอาด โดยเน้นที่การสระผม อาจจะล้างผมนานกว่าปกติ นวดหนังศีรษะเพื่อให้สิ่งสกปรกหลุดออกไป และป้องกันการตกค้างของแชมพูและครีมนวด รวมถึงการเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมให้เหมาะสมกับสภาพผมหรือเลือกผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากธรรมชาติ เช่น ไข่ พืชตระกูลถั่ว พริกไทยดำ ฯลฯ หากไม่แน่ใจว่าสภาพผมต้องได้รับการบำรุงอย่างไร ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผม อีกทั้งควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และควรมีการทำทรีเม้นท์บำรุงผมและมีการอบไอน้ำ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นในกับเส้นผมเดือนละครั้ง" เฉลิมพล อธิบาย

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมแนะแนวทางแก้ไขและดูแลสุขภาพเส้นผมที่ดีที่สุดว่า ควรดูแลเรื่องสภาพจิตใจให้แจ่มใจตลอดเวลา ไม่เครียด เพราะท้ายที่สุดถ้าสภาพจิตใจดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันจะออกมาจากร่างกาย ย่อมมีสุขภาพดีตามด้วย รวมถึงเส้นผมด้วย จิตใจดีเส้นผมก็มีสุขภาพดี มีน้ำหนัก ส่งผลให้สาววัย 40+ ทุกคน กลายมาเป็นคุณแม่ยังสาวอีกครั้ง อย่างไรก็ตามไม่เฉพาะผู้หญิงวัยเข้าเลข 4 เท่านั้นที่ต้องใส่ใจดูแลสุขภาพผม ทุกๆ คนในครอบครัวก็เช่นกัน เพื่อสร้างสุขอนามัยให้กับตัวเองห่างไกลจากโรคภัย


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แย่จัง...คนยุคใหม่ทิ้งพ่อแม่ให้อยู่ตามลำพังมากขึ้น

วิจัยเผย คนยุคใหม่ทิ้งพ่อแม่ให้อยู่ตามลำพังมากขึ้น

นักวิจัยชี้ สังคมยุคใหม่ ผู้สูงอายุถูกทิ้งให้อยู่ลำพังมากขึ้น 7.6 % ขณะที่แนวโน้มอาศัยอยู่กับลูก ลดลงเหลือ 60.2 % จากเดิม ในปี 2537 อยู่ที่ 73.6% ชี้อีก 20 ปี ผู้สูงอายุพุ่งเป็น 1 ใน 4 ของประชากรไทย จี้รัฐถึงเวลาผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ

ศาสตราจารย์ศศิพัฒน์ ยอดเพชร อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่า สังคมไทยเริ่มเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุ โดยประชากรวัยเด็กเริ่มลดจำนวนลงพอ ๆ กับประชากรวัยแรงงาน ขณะที่ประชากรวัยสูงอายุกลับเพิ่มมากขึ้น โดยสาเหตุสำคัญมาจากสภาพสังคม เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผู้หญิงมีบุตรเฉลี่ยจำนวนลดลง จาก 5.4 คน ในปี 2503 เหลือเพียง 1.85 คน ในปี 2553 ขณะที่อายุเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นจาก 71.7 ปีในปัจจุบัน เป็น 76.4 ปี ภายใน 20 ปีข้างหน้า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างดังกล่าวทำให้สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุต่อสัดส่วนประชากรทั้งประเทศ เพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 11 และจะเพิ่มเป็นร้อยละ 25 ในปี 2573

“เมื่อก่อนเราเคยมีผู้สูงอายุไม่มาก หากเปรียบเทียบคนไทย 100 คน เราจะเจอเพียง 7 คน ตอนนี้เพิ่มเป็น 11 คน แต่ในอีก 20 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 25 คน หมายความว่าคนไทย 4 คน จะมีคนสูงอายุ 1 คน ซึ่งถือว่าสูงมาก” ศ.ศศิพัฒน์ กล่าว

ศ.ศศิพัฒน์ กล่าวว่า จากการสำรวจยังพบว่า ปัจจุบันผู้สูงอายุอยู่ตามลำพังมากขึ้น จากร้อยละ 3.6 ในปี 2537 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 7.6 ในปี 2550 ผู้สูงอายุที่อยู่กับคู่สมรสลำพังมีร้อยละ 11.6 ในปี 2537 เพิ่มเป็นร้อยละ 16.3 ในปี 2550 ขณะที่แนวโน้มที่น่ากังวลคือ สัดส่วนของผู้สูงอายุ ที่อาศัยอยู่กับลูกลดลงตามลำดับ จากร้อยละ 73.6 ในปี 2537 เหลือ 65.7 ในปี 2545 และเหลือร้อยละ 60.2 ในปี 2550

“ผู้สูงอายุที่อยู่กันลำพังมากขึ้น อยู่ห่างจากครอบครัว ห่างจากลูก ทำให้การแสดงความรักความห่วงใยลดลง โอกาสใกล้ชิดกับคนในครอบครัวลดลง การแสดงความรักต้องพึ่งพาเทคโนโลยีการสื่อสารอย่างโทรศัพท์มือถือมากขึ้น เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่ขาดผู้ดูแลเอาในใส่ รวมทั้งจากความสุขในการใช้ชีวิตบั้นปลายกับลูกหลานและญาติพี่น้อง”ศ.ศศิพัฒน์ กล่าว

ศ.ศศิพัฒน์ กล่าวว่า ครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้สูงอายุ 80 ปีขึ้นไปและผู้สูงอายุที่พิการ ที่ต้องการการพึ่งพาในการดำเนินกิจวัตรประจำวัน ขณะที่รัฐบาลเองจะต้องมีการวางระบบบริการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวรองรับสังคมผู้สูงอายุในวันข้างหน้า เพราะสังคมไทยเหลือเวลาน้อยมากในการปรับตัวกับโครงสร้างประชากรใหม่ ที่มีจำนวนผู้สูงอายุในสัดส่วนที่มาก อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อันจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและด้านอื่น ๆ ต่อไป

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พาร์กินสัน โรคสั่นเกร็งในวัยชรา


พาร์กินสัน โรคสั่นเกร็งในวัยชรา

พาร์กินสัน โรคสั่นเกร็งในวัยชรา (ธรรมลีลา)
โดย : ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์

ร่างกายคนเราเมื่อเข้าสู่วัยชรา ก็เป็นธรรมดาที่โรคภัยไข้เจ็บจะมาเยือนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งหนึ่งในจำนวนหลาย ๆ โรคที่เกิดได้แก่ โรคพาร์กินสัน ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ที่จะส่งผลให้เกิดอาการสั่นเกร็ง และเคลื่อนไหวช้า

สาเหตุสำคัญของการเกิด โรคพาร์กินสัน

1. ความชราภาพของสมอง มีผลทำให้เซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีน (เกิดจากกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำที่อยู่บริเวณก้านสมอง โดยทำหน้าที่สำคัญในการสั่งร่างกายให้เคลื่อนไหว) มีจำนวนลดลง โดยมากพบในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและหญิง และจัดว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีสาเหตุจำเพาะอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่พบบ่อยที่สุด

2. ยากล่อมประสาทหลัก หรือยานอนหลับที่ออกฤทธิ์กดหรือต้านการสร้างสรรโดปามีน โดยมากพบในผู้ป่วยโรคทางจิตเวช ที่ต้องได้รับยากลุ่มนี้เพื่อป้องกันการคลุ้มคลั่ง รวมถึงอาการอื่น ๆ ทางประสาท แต่ปัจจุบันยากลุ่มนี้ลดความนิยมในการใช้ลง แต่ปลอดภัยสูงกว่าและไม่มีผลต่อการเกิด โรคพาร์กินสัน

3. ยาลดความดันโลหิตสูง ในอดีตมียาลดความดันโลหิต ที่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง จึงทำให้สมองลดการสร้างสารโดปามีน แต่ในระยะหลัง ๆ ยาควบคุมความดันโลหิตส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์นอกระบบประสาทส่วนกลาง แต่มีผลทำให้ขยายหลอดเลือดส่วนปลาย จึงไม่ส่งต่อสมองที่จะทำให้เกิด โรคพาร์กินสัน ต่อไป

4. หลอดเลือดในสมองอุดตัน ทำให้เซลล์สมองที่สร้างโดปานีมีจำนวนน้อยหรือหมดไป

5. สารพิษทำลายสมอง ได้แก่ สารแมงกานีสในโรงงานถ่านไฟฉาย พิษจากสารคาร์บอนมอนนอกไซด์

6. สมองขาดออกซิเจน ในกรณีที่จมน้ำ ถูกบีบคอ เกิดการอุดตันในทางเดินหายใจ จากเสมหะหรืออาหาร เป็นต้น

7. ศีรษะถูกกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ หรือโรคเมาหมัดในนักมวย

8. การอักเสบของสมอง

9. โรคทางพันธุกรรม เช่น โรควิลสันซึ่งเกิดจากการที่มีอาการของโรคตับพิการร่วมกับโรคสมอง สาเหตุมาจากธาตุทองแดงไปเกาะในตับและสมองมากจนเป็นอันตรายขึ้นมา

10.ยากลุ่มต้านแคลเซียมที่ใช้ในโรคหัวใจ โรคสมอง ยาแก้เวียนศีรษะ และยาแก้อาเจียนบางชนิด

การสังเกตอาการของ โรคพาร์กินสัน

โดยทั่วไปอาการจะแสดงออกมากน้อยแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ ด้าน เช่น อายุ ระยะเวลาการเป็นโรค และภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา แต่โรคชนิดนี้จะมีอาการที่แสดงออกที่เห็นได้ชัด คือ

1. อาการสั่น พบว่าเป็นอาการเริ่มต้นของโรคประมาณร้อยละ 60-70 ของผู้ป่วยจะมีอาการสั่น โดยเฉพาะเวลาที่อยู่นิ่ง ๆ จะมีอาการมากเป็นพิเศษ (4-8 ครั้ง/วินาที) แต่ถ้าเคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมก็จะมีอาการสั่นลดลง หรือหายไป โดยมากพบอาการสั่นที่มือและเท้า แต่บางครั้งอาจพบได้ที่คางหรือลิ้นก็ได้ แต่มักไม่พบที่ศีรษะ

2. อาการเกร็ง ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะแขน ขา และลำตัว ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำงานหนักแต่อย่างใด

3. เคลื่อนไหวช้า ผู้ป่วยจะขาดความกระฉับกระเฉงงุ่มง่าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเริ่มต้นเคลื่อนไหว บางรายอาจหกล้มจนเกิดอุบัติเหตุตามาได้ เช่น สะโพกหัก หัวเข่าแตก เป็นต้น

4. ท่าเดินผิดปกติ ผู้ป่วยจะมีท่าเดินจำเพาะตัวที่ผิดจากโรคอื่น คือ ก้าวเดินสั้น ๆ แบบซอยเท้าในช่วงแรก ๆ และจะก้าวยาวขึ้นเรื่อย ๆ จนเร็วมากและหยุดไม่ได้ทันที โอกาสที่จะหกล้มหน้าคว่ำจึงมีสูง นอกจากนี้ยังเดินหลังค่อม ตัวงอ แขนไม่แกว่ง มือชิด แนบลำตัว หรือเดินแข็งทื่อเป็นหุ่นยนต์

5. การแสดงสีหน้า ใบหน้าของผู้ป่วยจะเฉยเมย ไม่มีอารมณ์เหมือนใส่หน้ากาก เวลาพูดมุมปากจะขยับเล็กน้อย

6. เสียงพูด ผู้ป่วยจะพูดเสียงเครือ ๆ เบา ไม่ชัด หากพูดนาน ๆ เสียงจะค่อย ๆ หายไปในลำคอ บางรายที่อาการไม่หนักเมื่อพูดน้ำเสียงจะราบเรียบ รัว และระดับเสียงจะอยู่ระดับเดียวกันตลอด นอกจากนี้น้ำลายยังออกมาและสออยู่ที่มุมปากตลอดเวลา

7. การเขียน ผู้ป่วยจะเขียนหนังสือลำบาก ตัวหนังสือจะค่อย ๆ เล็กลงจนอ่านไม่ออก ส่วนปัญหาด้านสายตา ผู้ป่วยจะไม่สามารถกลอกตาไปมาได้คล่องแคล่วอย่างปกติ เพราะลูกตาจะเคลื่อนไหวแบบกระตุก

โดยส่วนมากผู้ป่วย โรคพาร์กินสัน จะมีอาการแทรกซ้อน คือ ท้องผูกเป็นประจำ ท้อแท้ซึมเศร้า ปวดกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลีย

การรักษา โรคพาร์กินสัน มี 3 วิธี

1. รักษาด้วยยา แม้ว่ายาจะไม่สามารถทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นตัว หรือกลับมางอกทดแทนเซลล์เดิมได้ แต่ก็จะทำให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้ สำหรับยาที่ใช้ในปัจจุบัน คือ ยากลุ่ม LEVODOPA และยากลุ่ม DOPAMINE AGONIST เป็นหลัก (การใช้ยาแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยจากแพทย์) ตามความเหมาะสม

2. ทำกายภาพบำบัด จุดมุ่งหมายของการรักษาก็คือ ให้ผู้ป่วยกลับคืนสู่สภาพชีวิตที่ใกล้เคียงคนปกติที่สุด สามารถเข้าสังคมได้อย่างดี มีความสุขทั้งกายและใจ ซึ่งมีหลักวิธีปฏิบัติง่าย ๆ คือ

ฝึกการเดินให้ค่อย ๆ ก้าวขาแต่พอดีโดยเอาส้นเท้าลงเต็มฝ่าเท้า และแกว่งแขนไปด้วยขณะเดิน เพื่อช่วยในการทรงตัวดี นอกจากนี้ควรหมั่นจัดท่าทางในอิริยาบถต่าง ๆ ให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรเป็นแบบส้นเตี้ย และพื้นต้องไม่ทำมาจากยาง หรือวัสดุที่เหนียวติดพื้นง่าย

เมื่อถึงเวลานอนไม่ควรให้นอนเตียงที่สูงเกินไป เวลาจะขึ้นเตียงต้องค่อย ๆ เอนตัวลงนอนตะแคงข้างโดยใช้ศอกยันก่อนยกเท้าขึ้นเตียง

ฝึกการพูด โดยญาติจะต้องให้ความเข้าอกเข้าใจค่อย ๆ ฝึกผู้ป่วย และควรทำในสถานที่ที่เงียบสงบ

3. การผ่าตัด โดยมากจะได้ผลดีในผู้ป่วยที่มีอายุน้อย และมีอาการไม่มากนัก หรือในผู้ที่มีอาการแทรกซ้อนจากยาที่ใช้มาเป็นระยะเวลานาน ๆ เช่น อาการสั่นที่รุนแรง หรือมีการเคลื่อนไหวแขน ขา มากผิดปกติจากยา ปัจจุบันมีการใช้วิธีกระตุ้นไฟฟ้าที่สมองส่วนลึก โดยผ่าตัดฝังไว้ในร่างกาย พบว่ามีผลดี แต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก

ผู้ป่วย พาร์กินสัน จำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคนรอบข้าง ในการพัฒนาฟื้นฟูด้านร่างกาย รวมถึงจิตใจ ดังนั้นหากท่านมีคนใกล้ชิดที่เป็นโรคชนิดนี้ จึงควรรีบนำมาพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโรค อันจะนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป


ที่มา
ธรรมลีลา

การเตรียมตัวและเตรียมใจก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ

การเตรียมตัวและเตรียมใจก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ

คนเราทุกคนต้องพบกับคำว่า วัยสูงอายุหรือวัยชราไม่วันใดก็วันหนึ่ง หากว่าเราไม่ตายเสียก่อนขณะเป็นหนุ่มเป็นสาว ด้วยเหตุนี้จึงควรได้มีการเตรียมตัวและเตรียมใจก่อนจะเข้าสู่วัยสูงอายุเสียตั้งแต่แรก ก่อนที่จะถึงวันนั้นจริง ทั้งนี้เพื่อเราจะได้มีชีวิตในวัยที่สูงอายุอย่างมีความสุข แทนที่จะรอให้วันนั้นผ่านเข้ามาถึงโดยปราศจากการเตรียมเนื้อเตรียมตัว และหากทำใจไม่ได้เมื่อถึงวันนั้นก็อาจเป็นวันที่เราจะต้องโศกเศร้าไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ก็เป็นได้

การสร้างหลักประกันให้กับตนเอง
สิ่งหนึ่งที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่พ้นก็คือ การเข้าสู่วัยชราหรือวัยสูงอายุ หากเราไม่ตายเสียก่อนหน้านั้น ด้วยเหตุนี้จึงควรเตรียมตัวรับสถานาการณ์ในวัยชราให้พร้อมก่อนจะถึงวันนั้น นั่นก็คือการสร้างหลักประกันให้กับตนเองก่อนจะเข้าสู่วัยสูงอายุ

1. ทรัพย์สินเงินทอง
คนที่รับราชการหรือทำงานบริษัทบางบริษัทที่มีเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ ก็อาจจะไม่เดือดร้อนมากนัก เพราะเมื่อปลดเกษียณแล้วก็ยังได้รับเงินบำเหน็จบำนาญ และอาจรวมถึงสวัสดิการอื่นๆ ด้วย เช่น ค่ารักษาพยาบาลเป็นต้น
แต่ถึงแม้จะได้รับบำเหน็จบำนาญเป็นเงินก้อน เงินจำนวนดังกล่าวก็อาจหมดไปได้ หรือกรณีที่รับบำนาญ เงินอาจจะน้อยกว่าจำนวนที่เคยได้รับ ก็อาจจะไม่พอเพียงกับค่าใช้จ่าย ก็จำเป็นที่จะต้องมีการสะสมเงินไว้ก้อนหนึ่งเพื่อใช้จ่ายในวัยที่สูงอายุแล้ว
ส่วนคนที่ไม่มีเงินบำเหน็จบำนาญเมื่ออกจากราชการแล้วก็ยิ่งนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสะสมเงินไว้ใช้เมื่อเข้าสู่วัยชรา เพื่อว่าชีวิตบั้นปลายจะได้มีความสุขกับเขาบ้าง
การตระเตรียมเงินทองไว้ใช้จ่ายในวัยสูงอายุควรจะได้จัดทำล่วงหน้าเป็นเวลานานๆ อย่างน้อยก็ควรจะเป็น 10 ปีก่อนเกษียณอายุ และควรจะมีกำหนดหรืเป้าหมายแน่นอนว่าจะต้องเก็บสะสมเดือนละเท่าใด เพื่อเมื่อปลดเกษียณแล้วจะมีเงินพอใช้จ่ายกับชีวิตบั้นปลายของตน
อย่างไรก็ตาม มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายประจำเดือนในปัจจุบันก็เป็นปัญหาค่อนข้างมาก การที่จะเก็บเงินสะสมไว้เมื่ออายุมากแล้วยิ่งเป็นปัญหามากขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ และมีวิธีเดียวที่ทำได้ก็คือการประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งโดยแบ่งเงินรายได้ออกเป็นส่วนๆ ไว้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่ง และรีบเอาส่วนที่จะเก็บสะสมฝากธนาคารไว้ทันทีเมื่อรับเงินเดือน อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะขืนเก็บไว้กับตัว เงินดังกล่าวจะหมดไปในเวลาอันรวดเร็ว และไม่มีโอกาสฝากธนาคารได้เลย
ที่สำคัญที่สุดก็คือ จะต้องมีความมุ่งมั่นในการทำอย่างจริงจัง มิฉะนั้นการสะสมเงินทองในวัยก่อนเกษียณจะทำไม่ได้เลย

2.ที่อยู่อาศัย
ที่อยู่อาศัยก็นับว่าเป็นสิ่งสำคัญในวัยสูงอายุ มีหลายคนพูดว่าเกษียณแล้วยังไม่มีที่ซุกหัวนอน บางคนต้องเร่ร่อนอาศัยคนอื่นเขาอยู่ บางคนถึงกับต้องไปนอนศาลาวัดหรือข้างถนน สภาพดังกล่าวนับว่าเป็นที่อนาถใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุนี้ในขณะที่ทำงานอยู่และมีรายได้ ควรจะได้ขวนขวายหาที่อยู่อาศัยของตนเองให้ได้ แม้จะเล็กขนาดไหนก็ไม่สำคัญ ขอให้เป็นบ้านของเราเองก็พอใจที่สุดแล้ว
ปัจจุบันนี้การหาบ้านอยู่อาศัยอาจจะใช้วิธีซื้อผ่อนส่งก็ได้ ไม่จำเป็นต้องลงทุนเป็นก้อน หากไม่สามารถสร้างด้วยตนเองได้ก็ควรจะได้ใช้วิธีเช่าซื้อ เพื่อจะได้มีที่อยู่อาศัยเมื่อเกษียณอายุแล้ว

3. การรักษาสุขภาพของตนเอง
หากต้องการอายุยืนและมีความสุขในวัยสูงอายุ ทุกคนควรจะได้เตรียมร่างกายไว้ล่วงหน้าก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ เช่นเดียวกับการเตรียมทรัพย์สินเงินทองหรือที่อยู่อาศัย ทั้งนี้เพื่อเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุแล้วจะได้มีความสุข ด้วยการมีสุขภาพที่สมบูรณ์ ไม่เจ็บออดๆ แอดๆ อย่างที่เป็นในบางคน
การพยายามรักษาสุขภาพของตนเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในช่วงก่อนเกษียณอายุ เพื่อร่างกายจะได้แข็งแรง และมีสุขภาพสมบูรณ์ และยังเป็นผลดีต่อเนื่องมาจนถึงวัยสูงอายุของผู้นั้นด้วย ซึ่งจะช่วยทำให้ชีวิตในวัยสูงอายุ เป็นชีวิตที่มีความสุขสามารถไปไหนมาไหนได้ หรือสามารถทำอะไรด้วยตัวของตัวเองได้ รวมทั้งสามารถที่จะทำงานต่อหลังจากปลดเกษียณแล้วด้วย
การออกกำลังกายในวัยก่อนเกษียณ จึงนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง หากท่านต้องการเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง และปลอดจากโรคภัยมาเบียดเบียนเมื่อปลดเกษียณแล้ว นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญทำให้มีอายุยืน ซึ่งเป็นยอดปรารถนาของทุกคนด้วย

4. การหาตัวอย่างคนชรามาเป็นแบอย่าง
หลายคนมักจะถามตัวเองว่า เมื่อปลดเกษียณแล้วจะจัดการกับตัวเองอย่างไรดี จะทำงานต่อหรืออยู่กับบ้านเฉยๆ หรือจะทำอะไรดี และจะต้องทำอย่างไรกับชีวิตในบั้นปลายถึงจะมีความสุข
วิธีง่ายๆ ที่อยากจะแนะนำผู้ที่มีปัญหาดังกล่าวก็คือให้มองดูรอบๆ ตัวเราเอง แล้วพยายามหาคนชราคนใดคนหนึ่งที่เขามีชีวิตอย่างมีความสุขมาเป็นตัวอย่างของเรา เพื่อว่าเราจะได้มีความสุขอย่างเขาบ้าง พยายามศึกษาหารายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิบัติตนของตัวเขาว่าเขาทำตัวอย่างไร ทำใจอย่างไร เขาจึงมีความสุขอย่างนั้น เชื่อแน่เหลือเกินการขอคำแนะนำจากเขาเป็นการไม่ยาก เพราะคนที่มีอายุแล้วมักจะชอบช่วยเหลือคนอื่นเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว หากท่านไปขอคำแนะนำจากเขา เขาก็คงจะบอกท่านได้ว่า ท่านจะต้องทำตัวอย่างไรจึงจะได้มีความสุขเช่นเดียวกับเขา
การหาตัวอย่างจากคนที่สูงอายุแล้ว อาจไม่จำเป็นต้องหาจากคนๆ เดียว เพราะมีวิธีการปฏิบัติมีหลายอย่างหลายวิธี บางอย่างอาจเหมาะสมกับตัวเรา บางอย่างอาจไม่เหมาะสมกับตัวเรา เราจึงควรดูตัวอย่างจากหลายๆคน แล้วเลือกข้อที่ดีที่เหมาะสมกับตัวเรามาปฏิบัติ ก็จะช่วยให้เรามีวิธีที่จะเลือกใช้ได้ถูกต้องเหมาะสมกับชีวิตของเรา

5. การหัดทำใจแต่ต้นมือ
เมื่อเราทราบว่า หากเรายังมีชีวิตอยู่ไม่วันใดวันหนึ่งเราก็ต้องเป็นคนแก่หรือคนชรา ทำไมเราจึงไม่เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า เพื่อว่าเมื่อวันนั้นมาถึงเราจะได้ยอมรับมันด้วยความเต็มใจและมีความสุข ไม่ใช่ปล่อยให้มันมาถึงแล้วต้อนรับมันด้วยความทุกข์ ว่าเราจะทำอย่างไรดีกับชีวิตในวัยชราของเรา
คนเราเมื่อยังทำงาน มีอำนาจหน้าที่อยู่ คนเขาก็นับหน้าถือตา คนเขาก็ให้เกียรติ คนเขาก็ล้อมหน้าล้อมหลัง ทุกคนอยากเข้ามาหา ทุกคนอยากพบ แม่เมื่อปลดเกษียณแล้วก็ไม่มีใครอยากมาหา เพราะเราหมดอำนาจแล้ว เราไม่สามารถทำอะไรหรือช่วยเหลือเขาได้ เกียรติยศ ชื่อเสียง ความนับหน้าถือตาก็จะหมดไป ยิ่งเวลาเราไปงานไปการที่มีคนที่เขาขึ้นมาแทนตำแหน่งเรา ซึ่งมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง มีคนให้เกียรติ ส่วนเรานั่งอยู่คนเดียวไม่มีคนเหลียวแล อย่างมากก็ยกมือไว้เป็นพิธีแล้วเขาก็จากไป แม้จะมานั่งคุยด้วยเขาก็ไม่อยากมา เพราะกลัวนายใหม่จะเขม่นเอาว่าเป็นพวกนายเก่า หรือเป็นเพราะเกลียดขี้หน้าเต็มทน สมัยเป็นนายก็เป็นได้
สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราจะต้องเตรียมใจไว้ก่อนจะถูกปลดเกษียณ ว่าเราจะต้องพบกับสิ่งเหล่านั้น และไม่ใช่แต่เราเท่านั้น และไม่ใช่แต่เราเท่านั้น คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน นับเป็นของธรรมดา มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ เพื่อนฝูงก็นับวันจะหายไปวันละคนสองคน ผลที่สุดอาจต้องอยู่คนเดียว
หัดทำใจ หัดปลง หัดมองเห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นของธรรมดาโลก และหัดทำใจวางเฉยไม่รู้หนาวไม่รู้ร้อนเสียบ้างตั้งแต่ต้น เราก็จะได้มีโอกาสมีความสุขในบั้นปลายของชีวิต โดยไม่ต้องไปห่วงไปคิด ไม่กังวลว่าคนอื่นเขาจะรักเราไหม คนอื่นเขาจะให้เกียรติเราไหม เขาจะทำอย่างไรเป็นเรื่องของเขา หากเผอิญเขาทำอะไรให้เราพิเศษก็ให้ถือว่าเป็นกำไรของชีวิต หากเขาไม่ทำอะไรให้ก็ถือว่าเป็นเรื่องเฉยๆ ธรรมดาๆ เพราะมันไม่ได้ทำให้เราขาดทุนตรงไหน แต่คนที่เกี่ยวข้องอาจขาดทุนโดยไม่รู้ตัวก็ได้

6. การหัดทำให้จิตใจร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอ
คนมักจะพูดว่า "เมื่อเรายิ้มกับโลก โลกก็จะยิ้มกับเรา" ด้วยเหตุนี้เราควรยิ้มกับโลกเสียตั้งแต่บัดนี้ ไม่จำเป็นต้องรอให้เกษียณก่อนแล้วจึงค่อยยิ้ม เพราะถึงตอนนั้นอาจยิ้มไออกแล้วก็ได้
การทำจิตใจให้ร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอ นอกจากจะทำให้เราพ้นทุกข์และมีความสุขแล้ว ยังช่วยให้เรามีอายุยืนด้วย คนหลายคนพยายามเสาะหายาอายุวัฒนะ แต่หารู้ไม่ว่ายาอายุวัฒนะที่ดีที่สุดและใกล้ตัวที่สุด ตลอดจนไม่ต้องเสียเงินซื้อก็คือ "การยิ้ม" การยิ้มทำให้จิตใจเบิกบาน ทำให้จิตใจร่าเริง ทำให้จิตใจมีความสุข และทำให้อายุยืน
ด้วยตุนี้หากท่านยังไม่ทราบว่าควรจะทำการจัดการกับชีวิตอย่างไรดีเมื่อเกษียณอายุแล้ว ก็ใคร่ขอแนะทำว่าหัดทำให้จิตใจร่าเริงเบิกบานเสมอตั้งแต่บัดนี้ เมื่อเกษียณแล้วท่านก็จะมีชีวิตที่มีความสุข

7. การหัดใช้ชีวิตอย่างอิสระ
การหัดใช้ชีวิตอย่างอิสระโดยไม่หวังพึ่งใครตั้งแต่แรกก่อนจะเข้าสู่วัยสูงอายุ นับว่ามีส่วนสำคัญในการทำให้ชีวิตหลังเกษียณอายุแล้วมีความสุขได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อปลดเกษียณอายุแล้วเราจะต้องอยู่ด้วยตัวของเราเอง และเราจะต้องทำอะไรด้วยตัวของเราเอง เราไม่อาจหวังให้คนโน้นคนนี้ช่วยเราได้
ด้วยเหตุนี้เราต้องพยายามฝึกหัดใช้ชีวิตของตนเองในระยะก่อนเกษียณอายุ ทั้งนี้เพื่อเมื่อเราปลดเกษียณแล้วเราจะได้สามารถช่วยเหลือตัวเราเองได้โดยไม่มีปัญหา ขณะเดียวกันเราก็จะได้ไม่คิดมาก และไม่เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่มีคนมาช่วยเราอย่างแต่ก่อน ความเศร้าหมอง ความไม่สบายใจก็จะไม่เกิดกับเรา เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เราก็รู้จักวิธีจัดการแก้ไขด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องคอยพึ่งพาอาศัยใคร หากเขาให้พึ่งก็ดีไป หากเขาไม่ให้พึ่งเราก็จะมีแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจ แต่ถ้าหากเราทำเองได้ เราก็จะได้มีความภาคภูมใจในตัวของเราเองว่า เราก็สามารถช่วยตัวเองได้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปง้อพึ่งคนอื่น แม้แต่ลูกหลายของตนก็ตาม หากเราสามารถทำเองได้ เราก็ไม่ควรคิดพึ่งพาเขา ถ้าดีก็ดีไป ถ้าไม่ดีก็เจ็บใจเปล่าๆ

8. การหางานอดิเรกทำ
วัยหลังปลดเกษียณแล้วจะมีเวลาว่างมาก เราะไม่ทำงานอย่างแต่ก่อน จึงควรหางานอดิเรกไว้แต่ต้นมือว่าเราจะทำอะไรหลังจากปลดเกษียณอายุแล้ว ด้วยการเริ่มต้นเสียตั้งแต่ก่อนเกษียณอายุ ทั้งนี้เมื่อเกษียณอายุแล้วจะได้ทำต่อเนื่องได้ทันที
บางคนอาจจะหัดเล่นดนตรี บางคนอาจจะสะสมแสตมป์และอื่นๆ ทั้งนี้สุดแล้วแต่จะชอบ ว่าจะเลือกทำอะไรที่เราต้องการและเหมาะสมกับตัวเอง
การทำงานอดิเรกจะช่วยฆ่าเวลาแต่ละวันให้ผ่านไปอย่างมีความสุข แทนที่จะนั่งดูเข็มนาฬิกาทีละนาทีๆ ดูมันช่างเชื่องช้าและทรมานเสียจริงๆ การหางานอดิเกรทำหลังจากปลดเกษียณ จึงนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการหาความสุขเมื่อปลดเกษียณแล้ว

9. การเข้าร่วมกิจกรรมของสังคม
การเข้าร่วมกิจกรรมของสังคมตั้งแต่ก่อนปลดเกษียณ จะช่วยทำให้ชีวิตได้มีความสุขอย่างดีในวัยปลดเกษียณแล้ว ไม่ควรรอให้ปลดเกษียณแล้วจึงเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เพราะตอนนั้นอาจจะสายเกินไปแล้ว เพราะทุกคนต้องการคนที่แข็งแรง คนที่มีพลังในการทำงานของสังคม แต่เมื่อใดเขาเห็นว่าเราเป็นคนแก่แล้ว ความสำคัญของตัวเราก็จะลดน้อยลง และโอกาสที่จะร่วมงานสังคมก็จะน้อยลงไปด้วย
การเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมต่างๆ นับว่าเป็นสิ่งที่ควรจะได้จัดทำเมื่ออยู่ในวัยทำงาน เพื่อว่าเมื่อปลดเกษียณแล้วเราจะได้มีโอกาสร่วมงานกับเขา และจะทำให้เรารู้สึกว่า แม้จะเป็นคนแก่ก็ยังเป็นคนแก่ที่มีค่าต่อสังคม ไม่ใช่คนแก่ที่นั่งรอคอยวันตายอย่างคนบางคน

10. การเข้าช่วยเหลืองานสังคมสงเคราะห์
การมีโอกาสเข้าช่วยเหลืองานสังคมสงเคราะห์บ้าง จะช่วยทำให้เรามีความรู้สึกมีความสุขมากขึ้น ที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือคนอื่น
การเข้าช่วยเหลืองานสังคมสงเคราะห์ก็มีหลายวิธีด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือสังคมเท่านั้น เพราะในวัยสูงอายุเงินยังเป็นของจำเป็นสำหรับเรา นอกจากเราคิดว่าเรามีพอจะแบ่งไปช่วยเหลือเขาบ้างก็จะเป็นการดียิ่งขึ้น แต่เราอาจจะช่วยเหลือด้านความคิด ด้านการทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่เรายังสามารถทำได้ ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลืองานสังคมสงเคราะห์เช่นเดียวกัน

11. การเข้าวัดเข้าวา
สิ่งสุดท้ายที่คนสูงอายุควรแสวงหาก็คือ ความสงบของจิตใจในบั้นปลายชีวิต ด้วยการเข้าวัดเข้าวาศึกษาพระธรรมคำสอนต่างๆ ของศาสนาที่ตนนับถือและเลื่อมใส เมื่อก่อนเราอาจไม่มีเวลาศึกษามากนัก เพราะต้องใช้เวลาทำมาหากิน แต่เมื่อเกษียณอายุแล้วเรามีเวลาว่างมากขึ้น โอกาสที่จะศึกษาธรรมะอย่างลึกซึ้งก็มีมากขึ้น เราก็จะมีชีวิตในบั้นปลายที่มีความสุขมากขึ้น

นอกจากนี้เมื่อเรามีความสุขแล้ว หากเราจะนำข้อธรรมะหรือคำสอนนั้นไปอบรมสั่งสอนชี้แจงให้คนอื่นทำบ้าง เราก็จะมีความสุขยิ่งขึ้นที่เราได้มีโอกาสช่วยเหลือคนอื่นให้มีความสุขอย่างเรา กุศลกรรมดีดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้เรามีความสุขยิ่งขึ้น
การเข้าวัดเข้าว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวตายอย่างมีความสุข เพราะเมื่อเข้าวัดแล้วจิตใจสงบ สามารถปลงในสิ่งต่างๆ ได้ว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์เกิดมาแล้วก็ต้องตาย ดังนั้นก่อนตายก็ควรเตรียมกายเตรียมใจไว้ให้ดี เมื่อตายแล้วจะได้ตายอย่างมีความสุข

ที่มา
http://www.rspg.org/elder/oldhappy6.htm

ใส่ใจวัยทอง

มนุษย์ทุกคนย่อมมีช่วงอายุขัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากวัยทารก สู่วัยเด็ก วัยรุ่น หนุ่มสาว วัยกลางคน และวัยสูงอายุ ซึ่งในแต่ละช่วงวัยจะมีความแตกต่างกันไปทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ เช่น วัยเด็กจะมีการพัฒนาของร่างกายอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาการทางด้านจิตใจที่มีความอยากรู้อยากเห็น จนมาถึงในช่วงวัยรุ่นจะมีการพัฒนาร่างกายเพื่อเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่และยังมีความเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ คือ อยากรู้อยากลองสิ่งใหม่ มาความสนใจในเรื่องเพศตรงข้ามมากขึ้น เมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ จะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายไม่มากนักและทางด้านจิตใจก็มีความคิดริเริ่มที่จะสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ เพื่อใช้ประกอบการงาน และยังเป็นช่วงที่ต้องการสร้างรากฐานให้แก่ชีวิต เมื่อถึงวัยกลางคนจนถึงวัยสูงอายุจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายมาก เนื่องจากการใช้ชีวิตมาอย่างยาวนานทำให้อวัยวะบางอย่างมีการเสื่อมลง นอกจากด้านร่างกายแล้วยังมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจที่อาจมี เหตุผลมาจากการปรับตัวของฮอร์โมน บางทีเราอาจเรียกผู้สูงอายุในช่วงการปรับฮอร์โมนในร่างกายว่า "วัยทอง” โดยเฉพาะเพศหญิงซึ่งจะสังเกตได้ง่ายกว่าเพศชาย อาจทำให้คนวัยทองนั้นมีอารมณ์ที่ต่างออกไป บางทีมีจิตใจที่สงบขึ้นแต่บางคนอาจจะมีความน้อยใจและอารมณ์หงุดหงิดง่าย

วัยทองของสตรี นั้นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงมากของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งโดยเฉลี่ย จะมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงอายุประมาณ 48-50 ปี เป็นผลมาจากการที่รังไข่เริ่มทำงานไม่ปกติ ทำให้มีระดูถี่ขึ้นจากช่วงห่าง 28 วัน เป็นประมาณ21 วัน หรือมีระดูไม่สม่ำเสมอระยะเวลา ระหว่างรอบระดูจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนกระทั่งไม่มีระดูอย่างถาวร เราเรียกช่วงนี้ว่าวัยใกล้หมดระดู (Perimenopause) หรือวัยเปลี่ยน (Climacteric)จะไม่มีการผลิตไข่หรือผลิตฮอร์โมนเพศหญิงอีกต่อไป ผู้หญิงวัยทองจึงหมดฮอร์โมนที่จะผลิตจากรังไข่ คือฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมน โปรเจสเตอโรนและการหมด ฮอร์โมนเพศหญิงนี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ในระยะแรกเป็น เวลา 4-5 ปี ก่อนที่จะหมดไปเลย การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวัยหมดระดูสามารถแบ่งออกเป็น 2ระยะ ได้แก่

การเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวัยใกล้หมดระดู และวัยหมดระดูช่วงต้น เกิดจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างรวดเร็วทำให้เกิดอาการต่างๆ ได้แก่
1. อาการของระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบตามตัว (Hot Flashes) มักมีอาการร้อนซู่ ขึ้นมาทันทีบริเวณหน้า ลำคอ และหน้าอก จะเกิดอาการอยู่นานประมาณ 3-5 นาที แล้วก็หายไป บางคนพบว่ามีเหงื่อออกมามากร่วมด้วย ส่วนใหญ่มักมีอาการในช่วงกลางคืน ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับตามมา
2. อาการของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ ได้แก่ ช่องคลอดอักเสบ คันช่องคลอด ช่องคลอดแห้งทำให้เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์
3. อาการช่องระบบทางเดินปัสสาวะได้แก่ ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
4. การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจและอารมณ์ ได้แก่ หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า ขาดความมั่นใจในตัวเอง เครียด กังวล เหนื่อย เพลีย หมดความต้องการทางเพศ
5. การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนัง ในวัยหมดระดูผิวหนังจะบางลง ความยืดหยุ่นลดลง
6. การเปลี่ยนแปลงทางกล้ามเนื้อและข้อ พบว่า กำลังของกล้ามเนื้อลดลง ปวดตามข้อ

การปลี่ยนแปลงในระยะยาว
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดในวัยหมดระดูช่วงหลัง มักเกิดความเสื่อมถอยของร่างกาย ได้แก่
1. การเปลี่ยนแปลงทางกระดูก เมื่อเข้าสู่วัยหมดระดูจะมีการสูญเสียกระดูกมากขึ้น แต่ละคนจะมีอัตราการสูญเสียกระดูกที่เร็วช้าแตกต่างกันไป ประมาณ 1ใน 3จะสูญเสียเนื้อกระดูกอย่างรวดเร็ว โอกาสเกิดโรคกระดูกพรุนได้เร็ว
2. การเปลี่ยนแปลงของหัวใจและหลอดเลือด พบว่า ในวัยหมดระดูจะมีไขมันโครเลสเตอรอลในเลือดสูง ทำให้เกิดอาการของโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง

สำหรับผู้หญิงวัยทองบางคนอาจต้องใช้ฮอร์โมนทดแทนฮอร์โมนที่ร่างกายเคยมี ซึ่งฮอร์โมนทดแทนจะแบ่งดังนี้
1.ฮอร์โมนทดแทนในวัยหมดระดู แบ่งตามลักษณะการใช้ออกเป็นฮอร์โมนทดแทนสำหรับผู้ที่ผ่าตัดมดลูกออกไปแล้ว จะเป็นฮอร์โมนที่ประกอบด้วยเอสโตรเจนเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะเป็นฮอร์โมนที่ช่วยบรรเทาอาการต่างๆที่จะเกิดขึ้นของวัยหมดระดู
2.ฮอร์โมนทดแทนสำหรับผู้ที่ยังมีมดลูกอยู่ เป็นฮอร์โมนที่ประกอบด้วยเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดปกติ หรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลุก
3.ฮอร์โมนทดแทนอื่นๆ เป็นฮอร์โมนที่ไม่ใช่เอสโตรเจนแต่สามารถป้องกันและรักษาการเปลี่ยนแปลงของวัยหมดระดูได้ดี


วัยทองของบุรุษ
จะเป็นการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลมาจาก การควบคุมฮอร์โมนเพศ จะเกิดขึ้นที่สมองที่เรียกว่า ต่อมไฮโปธารามัส (Hyppothalamus) เมื่อต่อมดังกล่าวตรวจพบว่าระดับฮอร์โมนเพศมีไม่เพียงพอ ก็จะส่งข้อมูลดังกล่าวไปยังต่อมใต้สมองโดยอาศัยฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า (GnRH) เมื่อต่อมใต้สมองรับข้อมูลว่าฮอร์โมนเพศชายต่ำจากระดับของฮอร์โมน (GnRH) ต่อมใต้สมองก็จะปล่อยฮอร์โมนเหนี่ยวนำการตกไข่ (LH) และฮอร์โมน (FSH) ออกมาทุกๆ หนึ่งชั่วโมง ฮอร์โมน (FSH)จะกระตุ้นเซลล์ที่สร้างฮอร์โมนเพศชายที่เรียกว่า Laydig Cells ในลูกอัณฑะเพื่อผลิตฮอร์โมนเพศชายให้เพิ่มขึ้นเมื่อมีระดับของฮอร์โมนเพศชายเพียงพอ ต่อมไฮโปรธารามัสจะหยุดการกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมน GnRH ที่ไปยังต่อมใต้สมองกระบวนการนี้เรียกว่า ระบบส่งข้อมูลย้อนกลับ

วัยทองในผุ้ชายไม่สามารถกำหนดได้แน่ชัดว่าจะเริ่มแสดงอาการตั้งแต่อายุเท่าไหร่ แต่จะเกิดเมื่อระดับของฮอร์โมนเพศชายลดลง ซึ่งสภาพนี้เรียกว่า ภาวะการมีฮอร์โมนเพศชายต่ำ (Hypogodism) มี 2 ระดับ คือ

1. ภาวะการมีฮอร์โมนเพศชายต่ำระดับปฐมภูมิ เกิดเมื่อLaydig Cells ในอัณฑะมีการสูญเสียความสามารถในการหลั่งฮอร์โมนเพศชายตั้งแต่ต้น หรือเมื่อยังหนุ่ม
2. ภาวะการมีฮอร์โมนเพศชายต่ำระดับทุติยภูมิ เกิดเมื่อข้อมูลจากสมองไปต่อมใต้สมองไม่เพียงพอ หรือไม่มีความถี่พอที่จะกระตุ้น Laydig Cells ให้หลั่งฮอร์โมนเพศชาย

ถ้าระดับของฮอร์โมนเพศชายปกติแต่ยังประสบภาวะวัยทองสาเหตุอาจเกิดจากปัญหาของฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยต้องมีอัตราส่วนของฮอร์โมนเพศชายต่อฮอร์โมนเพศหญิง 50:1 อัตราส่วน ดังกล่าวลดลงเป็น 20:1 หรือต่ำลงถึง 8:1 ซึ่งหมายความว่าฮอร์โมนเพศหญิงในผู้ชายจะสูงขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น ในขณะที่ฮอร์โมน เพศหญิงในร่างกายของผู้หญิงจะป้องกันโรคหัวใจและโรคกระดูกพรุน แต่สำหรับเพศชายฮอร์โมนเพศหญิงที่มี มากเกินไปในเพศชายจะเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจในผู้ชายให้มากขึ้น จำนวนที่เพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนเพศหญิงจะมีผลกระทบสัมพัทธ์ต่อระดับฮอร์โมนเพศชายที่ปกติ สาเหตุที่ฮอร์โมนเพศหญิงเพิ่มขึ้นในเพศชายเพราะ
1.ความอ้วน โรคอ้วนมีผลโดยตรงกับฮอร์โมนเพศหญิงที่มีมากเกินไปในอนุภาคของไขมันจะมี Aromatase (เอ็นไซนม์ที่จะเปลี่ยนฮอร์โมนเพศชายในร่างกายให้เป็นเพศหญิง) เป็นส่วนประกอบ ดังนั้นการเพิ่มขึ้นของจำนวนอนุภาค
ไขมันจะทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำในทุกวัย เป็นสาเหตุให้เพิ่มการแปลสภาพของฮอร์โมนเพศชายไปเป็นฮอร์โมนเพศหญิง
2.การขาดธาตุสังกะสี ที่เป็นตัวหยุดยั้งระดับ Aromatase ในร่างกาย ถ้าระดับสังกะสีมีไม่เพียงพอระดับของ Aromatase ก็จะสูงขึ้นธาตุสังกะสียังจำเป็นสำหรับระบบการทำงานปกติของต่อมใต้สมอง ถ้าไม่มีธาตุสังกะสีต่อมใต้สมอง
จะไม่สามารถหลั่งฮอร์โมนที่เหนี่ยวนำการตกไข่และฮอร์โมนที่ทำให้ตกไข่ได้ ธาตุสังกะสีมีความสำคัญสำหรับการผลิตฮอร์โมนเพศชาย ในขณะเดียวกันฮอร์โมนเพศชายก็จำเป็นต่อการรักษาระดับธาตุสังกะสีในเนื้อเยื่อร่างกายเช่นกัน
3.ระบบการทำงานของตับผิดปกติ หนึ่งในระบบการทำงานของตับ คือ ช่วยขับสารเคมี ฮอร์โมน ยา และของเสียที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของร่างกาย ปัจจัยต่างๆ ที่จะกระทบต่อการทำงานของตับ เช่น การดื่มสุราจะช่วยลดการทำงานของตับ อายุที่มากขึ้นก็จะทำให้การทำงานของตับลดลงด้วย
4.ฮอร์โมนเพศชายในร่างกาย ฮอร์โมนเพศชายสามารถอยู่อย่างอิสระหรือรวมกันกับโปรตีนในร่างกาย ฮอร์โมนเพศชายที่จับอยู่กับโปรตีน ไม่สามารถนำมาใช้ได้กับฮอร์โมนที่ไม่จับโปรตีนในร่างกาย เรียกว่า ฮอร์โมนอิสระ ระดับปกติของฮอร์โมนเพศชายอยู่ระหว่าง 350.10000ng/dl จากระดับปกติร้อยละ 97.98 จะเป็นฮอร์โมนไม่อิสระจำนวนโปรตีนที่จับกับฮอร์โมนในเลือดจะเพิ่มขึ้นตามอายุ SHBG จะจับกับฮอร์โมนเพศชายทำให้ไม่สามารถไปออกฤทธิ์ส่งต่อให้ร่างกายได้ ทำให้ฮอร์โมนเพศชายที่มีบทบาทในการสังเคราะห์โปรตีนส่งผลกระทบต่อการผลิตพลังงานของร่างกาย

วิธีการปฏิบัติตนเมื่อเข้าสู่วัยทองทั้งชายและหญิง
1)ควบคุมอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง
2)รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง
3)ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
4)ตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี
5)ปรึกษาแพทย์และใช้ฮอร์โมนทดแทนในกรณีที่จำเป็น

คนวัยทองจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมากและยังรวมถึงสภาพจิตใจด้วย โดยส่วนใหญ่จะเป็นความวิตกกังวลทำให้เกิดอาการเครียด เช่น ผู้หญิงบางคนอาจเกิดอาการวิตกกังวลในเรื่องของการเข้าสู่วัยทอง คนรอบข้างควรให้กำลังใจและเอาใจใส่ถึงอาการต่างๆ พร้อมทั้งให้ความเข้าใจในภาวะความเครียดที่อาจเกิดขึ้น ในกรณีของผู้ชายก็ควรให้กำลังใจเพราะวัยทองในชายจะมีผลกระทบกับเรื่องทางเพศที่มีความเสื่อมถอยลง ทำให้ความมั่นใจในเพศชายลดน้อยลง อาจทำให้เกิดอาการวิตกกังวลจนถึงขั้นฆ่าตัวตายได้ จึงต้องช่วยกันให้ความเข้าใจพร้อมทั้งให้คำปรึกษาในยามที่เกิดภาวะนั้นๆ เพื่อให้ผู้อยู่ในภาวะวัยทองสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ และผ่านพ้นช่วงวัยทองได้อย่างปลอดภัยทั้งร่างกายและจิตใจ


ที่มา
http://www.thaipaipan.net/application3/nuke/modules.php?name=twdotnet&file=columns&op=detail&cid=403&row=51

ออกกำลังกายอย่างไร เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง

ออกกำลังกายอย่างไร เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง

วัยทอง ถือเป็นช่วงวัยแห่งความสำเร็จของชีวิต เป็นช่วงที่สตรีมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง มีฐานะมั่นคง มีครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่วัยทอง ก็เป็นช่วงวัยแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเช่นกัน เนื่องจากการลดระดับของฮอร์โมนในร่างกายสตรี ซึ่งอาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านสรีระร่างกาย อารมณ์ และสภาพจิตใจ เพื่อให้สตรียังคงดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีคุณภาพ และมีความสุข การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงถือเป็นเรื่องควรปฏิบัติ

ท่าทางการออกกำลังกาย สำหรับสตรี (ใกล้) วัยทอง เพื่อปฏิบัติประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

1. บริหารไหล่ ยืนตรง หมุนหัวไหล่ ข้อศอก และแขน ท่าละ 20 ครั้ง

2. บริหารลำตัว ไหล่ และขา ยืนตรงเหยียดแขนขึ้นเหนือศรีษะแล้วโน้มตัวลงงอเข่าเล็กน้อย พยายามให้ปลายนิ้วแตะพื้น ทำติดต่อกัน 20 ครั้ง

3. บริหารลำตัวและหลัง ยืนตรงแขนทั้งสองข้างแนบลำตัว เอียงไปด้านข้างของลำตัวจนสุดตัว พยายามให้ปลายนิ้วแตะเข่า สลับซ้ายและขวารวมแล้ว 20 ครั้ง

4. บริหารเองและต้นขา ยืนหันข้างจับพนักเก้าอี้ แกว่งขาคล้ายลูกตุ้ม 20 ครั้ง แล้วสลับไปทำอีกข้างหนึ่ง

5. บริหารน่อง ก้าวเท้าข้างหนึ่งไปข้างหน้า ย่อเข่าหน้า เหยียดขาหลังให้ตึง พร้อมทั้งทิ้งน้ำหนักตัวไปยังผนังห้อง โดยใช้ฝ่ามือสองข้างยันไว้ ทำสลับข้างรวมแล้ว 20 ครั้ง

6. บริหารสะโพก และต้นขา นั่งเหยียดขาโน้มตัวไปข้างหน้า พยายามยืดแขนให้ปลายนิ้วแตะข้อเท้า ทำติดต่อกัน 20 ครั้ง

7. บริหารช่องคลอด ขมิบกล้ามเนื้อช่องคลอดค้างไว้ 5-10 วินาที แล้วผ่อน 5 วินาที ขมิบให้ได้อย่างน้อยวันละ 200 ครั้ง


นอกจากนี้การออกกำลังกายแบบแอโรบิค เช่นการเดินเร็ว ๆ 45 นาที หรือการวิ่งเหยาะ ๆ การว่ายน้ำ การขี่จักรยาน อย่างน้อย 15-30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับหัวใจ และปอด จึงควรปฏิบัติเป็นประจำ สำหรับสตรีที่มีปัญหาสุขภาพควรปรึกษาแพทย์ถึงท่าทาง และวิธีการที่เหมาะสมสำหรับการออกกำลังกาย

การออกกำลังกาย

•ช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุน
•ช่วยควบคุมระดับคลอเลสเตอรอลในกระแสเลือด
•ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่หัวใจ และปอด

อยู่อย่างไรให้มีคุณภาพ และสีสุข

•พบแพทย์เพื่อตรวจภายใน และเต้านมทุกปี
•หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
•รับประทานอาหารที่มีแคลเซี่ยม
•ออกกำลังกายอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง
•เริ่มรับประทานฮอร์โมนทดแทนเมื่อมีข้อบ่งชี้


ขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.bangkokhealth.com/
index.php/2009-01-19-04-21-40/1520-2009-01-22-08-31-16

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

'3 คุณหมอ' ตัวแทนคนสูงวัย เปลือยเคล็ดสุขภาพดี มีอายุยืน

'3 คุณหมอ' ตัวแทนคนสูงวัย เปลือยเคล็ดสุขภาพดี มีอายุยืน

เมื่ออายุเพิ่มขึ้น คงจะปฏิเสธ "เจ้าโรคภัย" ที่มาพร้อมกับความเสื่อมไปตามวัยไม่ได้ โดยเฉพาะผู้สูงวัย ถือเป็นวัยที่มีความเสี่ยงต่อภาวะเจ็บป่วยได้สูง ทำให้บางคนตื่นตัว และมุ่งมั่นที่จะดูแลตัวเอง ด้วยการหาเคล็ดลับจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ทั้งอินเทอร์เน็ต นิตยสาร หรือหนังสือคู่มือมาอ่านกัน

เริ่มไขเคล็ดจาก "พญ.เยาวลักษณ์ รพีพัฒนา" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช โรงพยาบาลสมิติเวช เผยสูตรการดูแลสุขภาพในแบบฉบับของเธอว่า จะให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพใจ โดยใช้เวลาว่างอ่านหนังสือธรรมะ และฟังธรรมทุกเช้า จากนั้นเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก และผลไม้ให้มากๆ พยายามกินเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด โดยไม่กินของจุบจิบ ไม่ดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และหลังทำงานเสร็จ จะออกกำลังกายเป็นประจำ และต่อเนื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เช่น วิ่งที่บ้าน ใช้เวลาวิ่งวันละ 30 นาที

สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทองอย่างเธอ สุขภาพเป็นสิ่งที่จะต้องดูแลเป็นพิเศษ โดยเธอมีหลักง่ายๆ คือ กินน้อย พูดน้อย นอนเท่าที่จำเป็น พร้อมกันนี้ยังต้องรักษาศีล นั่งสมาธิเป็นประจำ ส่วนเรื่องของฮอร์โมน และอาหารเสริม เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน ส่วนตัวจะกินธาตุเหล็ก และแคลเซียมบำรุงกระดูก

ด้าน "พญ.สุปราณี นิราพาธพงศ์พร" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีวิทยา รังสีวินิจฉัย อีกทั้งยังเป็นคุณแม่ของโปรกอล์ฟสาวไทยหนึ่งเดียวใน LPGA "วิรดา นิราพาธพงศ์พร" เปลือยเคล็ดการดูแลสุขภาพว่า เธอจะเน้นการออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงสดชื่น กระฉับกระเฉงด้วยการว่ายน้ำครึ่งชั่วโมงทุกเช้าก่อนมาทำงาน หรือเลือกออกกำลังกายช่วงเย็นหลังเลิกงาน

นอกจากนี้ เธอยังมีเคล็ดลับเพื่อสร้างกำลังใจ และให้คุณค่ากับตัวเอง ด้วยการตรวจสุขภาพประจำปีเป็นของขวัญในวันเกิด ซึ่งถือเป็นรางวัลชีวิตที่คนในช่วงวัยนี้ต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากสตรีที่อยู่ในช่วงหมดประจำเดือน การตรวจสุขภาพประจำปีถือเป็นเรื่องที่จะละเลยไม่ได้

ทิ้งท้ายกันที่ "นพ.เฉก ธนะสิริ" ประธานกิตติมศักดิ์ชมรมอยู่ 100 ปี-ชีวีเป็นสุข ปัจจุบันอายุ 85 ปี ผู้ที่บอกกับตัวเองว่าจะอยู่ให้ถึงอายุ 120 ปี เผยเคล็ดลับการดูแลสุขภาพในหนังสือ "อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้" ว่า การปฏิบัติตนให้มีอายุยืนยาวอย่างมีพฤฒิพลังถึง 120 ปีนั้น จำเป็นต้องปฏิบัติได้ดังต่อไปนี้

1. ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หนักเบาตามอายุ แต่การออกกำลังต้องให้ได้ออกซิเจนสม่ำเสมอด้วย เพื่อให้เกิดพลังชีวิต หรือพลังแอโรบิกไปจนตายนั้น ให้ใช้หลักที่ว่า อยากมีแรง ต้องออกแรง (หรือทำงานกลางแจ้งตลอดชีวิต)

2. ต้องกินอาหารธรรมชาติ คือ พืชพรรณธัญญาหาร เช่น แป้งเชิงซ้อน ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ข้าวโพด เผือก มัน ผลไม้ และผักหลากสี หลากรส ลดเนื้อสัตว์ 4 ตีน และ 2 ตีน วันหนึ่งกิน 2 มื้อ ก็เพียงพอแล้ว งด หรือลดมื้อเย็น ใช้หลักที่ว่า กินน้อย-ตายยาก กินมาก-ตายเร็ว อาหารอายุสั้น (ผักสด ผลไม้สด) ทำให้อายุยืน ในขณะที่อาหารอายุยืน (กระป๋อง หรืออาหารซอง เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม) จะทำให้อายุสั้น

3. ต้องดื่มน้ำสะอาด น้ำเปล่าๆ วันละ 10-12 แก้ว (ไม่ดื่มขณะกินอาหาร และอย่ารอให้รู้สึกกระหายแล้วจึงดื่ม แต่ควรดื่มบ่อยๆ ไปเรื่อยๆ ดีที่สุด)

4. ต้องพักผ่อนนอนหลับให้สนิท และการทำจิตใจให้สงบ จะช่วยทำให้ภูมิต้านทานในตัวมีสูงมาก เชื้อโรคจะแพ้เรา และจะต้องไม่สร้างปัญหาชีวิตให้แก่ตัวเอง ครอบครัว และสังคม หากเป็นไปได้ ให้ฝึกเจริญสมาธิ-วิปัสสนากรรมฐาน เป็นนิจสิน ดำเนินชีวิตทุกๆ ด้านด้วยปัญญา (ศีล สมาธิ ปัญญา คือไตรสิกขา) และจงมั่นใจว่า การฝึกจิตให้นิ่งเป็นจิตที่มีพลังสูง การจะนอนหลับให้สนิท อาหารมื้อเย็นจะต้องน้อยมาก

5. หมั่นสร้างแต่กรรมดี สร้างบุญสร้างกุศล ละเว้นความชั่วทุกชนิด โดยยึดหลัก "ไตรสิกขา" คือรักษาศีล 5 ข้อ เจริญสมาธิ หรือเจริญสติก็จะเกิดปัญญารู้ เอาปัญญาไปแก้ปัญหา นอกจากนั้นก็ควรรู้จักให้ทาน (ทานเป็นทางแห่งความสุข) และตั้งโปรแกรมจิตให้กับตัวเองทุกวัน เวลาที่จะมีชีวิตยืนยาว 120 ปี อย่างมีคุณภาพ โดยพิจารณาให้เห็นชัดว่า ร่างกาย คือ ฮาร์ดแวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะต้องดูแลระมัดระวังให้ทำหน้าที่อย่างดีอยู่เสมอ ส่วนโปรแกรมที่จะป้อนเข้าไปเพื่อให้ได้ข้อมูลนั้นก็คือ ซอฟต์แวร์ ที่หมายถึง "จิต" ของเรานั่นเอง

เพราะฉะนั้น การจะตั้งใจให้ได้ผลออกมาดีนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าให้ใช้หลัก อิทธิบาท 4 หมายถึง สิ่งที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จ 4 อย่าง คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา นั่นคือความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติตัว ใจจะต้องจดจ่อกับสิ่งนั้นๆ และศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอๆ

สำหรับประวัติการเจ็บป่วย และการใช้ยารักษา และยาบำรุงในรอบ 50 ปี นพ.เฉก เป็นไข้หวัด 2 ครั้ง ไม่ต้องกินยาทุกชนิด (ยังไม่มียารักษาไวรัส) หายเอง ไม่เคยลาป่วยขณะรับราชการ และไม่เคยเบิกค่ารักษาพยาบาล เพิ่งจะเบิกค่าหยอดค่าใน 2-3 ปีนี้เอง

ถึงแม้จะสูงวัย แต่ก็ห่างไกลโรคต่างๆ ได้ เพียงแค่ดูแลตัวเอง หรือยึดแนวทางปฏิบัติของคุณหมอทั้ง 3 ท่านก็ได้ ซึ่งทีมงานหวังว่า คงจะเป็นประโยชน์กับทุกครอบครัวไม่มากก็น้อย ^_^




ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ดื่มโซดามากอาจ “ซ่า” ไม่ออกเพราะแก่เร็ว

ดื่มโซดามากอาจ “ซ่า” ไม่ออกเพราะแก่เร็ว


เราพบระดับฟอสเฟตสูงๆ ในเครื่องดื่มน้ำอัดลมและอาหารที่ผ่านกระบวนการต่างๆ (ไซน์เดลี/iStockphoto)

การศึกษาของนักวิจัยสหรัฐฯ พบว่าอาหารที่ผ่านกระบวนการและโซดาที่เสริมฟอสเฟตเพื่อ “ความซ่า” นั้น ได้เร่งสัญญาณ “ความแก่” ในหนูทดลอง อาทิ โรคไต ภาวะแคลเซียมเกาะผนังเส้นเลือดหัวใจ อีกทั้งยังเร่งความเสื่อมต่อกล้ามเนื้อและผิวหนังอย่างรุนแรง

“คนเราต้องการอาหารเพื่อสุขภาพและการรักษาความสมดุลของฟอสเฟตในอาหาร อาจเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีสุขภาพดีและมีชีวิตยืนยาว หลีกเลี่ยงฟอสเฟตทีเป็นพิษแล้วเป็นสุขกับชีวิตที่มีสุขภาพดี” ไซน์เดลีระบุคำพูดของ ดร.นพ.ชอว์กัท ราซแซค (Shawkat Razzaque) จากภาควิชาการแพทย์ การติดเชื้อและภูมิคุ้มกัน (Department of Medicine, Infection and Immunity) จากมหาวิทยาลัยทันตแพทย์ฮาร์วาร์ด (Harvard School of Dental Medicine) สหรัฐฯ

ราซแซคและคณะได้ศึกษาผลกระทบจากการได้รับฟอสเฟตปริมาณสูงในหนู 3 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นหนูที่ไม่มียีน “โกลโธ” (klotho) ซึ่งเป็นสาเหตุให้ระดับฟอสเฟตเป็นพิษต่อร่างกาย ซึ่งหนูกลุ่มนี้มีชีวิตอยู่ได้ 8-15 สัปดาห์ กลุ่มถัดมาเป็นหนูที่ขาดยีนโกลโธและยีน NaPi2a พบว่าร่างกายหนูมีฟอสเฟตในระดับต่ำ และหนูกลุ่มนี้มีอายุได้ 20 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มที่ขาดยีนเช่นเดียวกับหนูกลุ่มที่ 2 แต่กลุ่มนี้ได้รับอาหารที่ฟอสเฟตสูง ซึ่งพบว่าหนูกลุ่มสุดท้ายตายหมดภายใน 15 สัปดาห์

งานวิจัยนี้ชี้ว่าฟอสเฟตมีความเป็นพิษต่อหนูและอาจมีผลกระทบเดียวกันต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น ซึ่งรวมถึงมนุษย์ด้วย

“โซดาคือพาหนะลำเลียงคาเฟอินของผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก แต่มีฟอสเฟตเป็นผู้โดยสารมาด้วย งานวิจัยนี้ชี้ว่าความสมดุลของฟอสฟอรัสในร่างกายเรานั้นมีอิทธิพลต่อกระบวนการแก่ ดังนั้นอย่าให้ทิปแก่มันเลยนะ” นพ.เจอรัลด์ ไวสส์แมนน์ (Gerald Weissmann) บรรณาธิการวารสารฟาเซบ (FASEB) ซึ่งเผยแพร่ผลงานวิจัยนี้ให้ความเห็น

ทั้งนี้ งานวิจัยของราซแซคพบระดับฟอสเฟตสูงในอาหารผ่านกระบวนการและเครื่องดื่มโซดา รวมถึงน้ำอัดลมด้วย

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

แพทย์เผยกิน " ปลาทู 2 ตัว " ชะลอ " ความแก่ " ปลอดโรครุมเร้า

แพทย์เผยกิน " ปลาทู 2 ตัว " ชะลอ " ความแก่ " ปลอดโรครุมเร้า

แพทย์เชี่ยวชาญอายุรวัฒน์นานาชาติแนะ 3 วิธีง่ายๆ ช่วยคนไทยลดสังขารเสื่อมก่อนวัย อย่านอนดึก เลี่ยงแป้งน้ำตาลคุมน้ำหนัก กินผักใบเขียววันละ 5 กำมือ ป ลาทู 2 ตัว มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซิตอัพวันละ 30 ครั้ง ฝึกหายใจลึกช่วยสติดีขึ้นชะลอแก่เร็ว

กรณีนายสำอาง สืบสมาน หัวหน้าโครงการวิจัยสุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ( มสธ.) เปิดเผยผลงานวิจัยคนไทยประสบปัญหาภาวะเสื่อมสังขารก่อนวัยอันควร สาเหตุจากโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง
เบาหวาน การถูกทำร้ายร่ างกายและจิตใจเพิ่มขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมในการบริโภคที่เสี่ยง ขณะที่ชายไทยฮิตเป็นโรคความดันโลหิตและโรคตับ ส่วนหญิงเป็นโรคคอพอก และหืดหอบนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ( International Anti-Aging Institute: IAAI) กล่าวว่า

การเข้าสู่ภาวะเสื่อมสังขารก่อนวัยอันควรกลายเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ไม่ควรมองข ้าม เพราะจะนำไปสู่สังคมผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นมีโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า ส่งผลต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ

สาเหตุของภาวะเสื่อมสังขาร แบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย คือ
1. ปัจจัยภายในที่เกิดจาก การสะสมของความเครียด ยิ่งขณะนี้ปัญหาการเมืองรุมเร้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ ยิ่งทำให้คนไทยมีภาวะเครียดสูงขึ้น การก้าวสู่ภาวะแก่ก่อนวัยจึงไม่ใช่เรื่องแปลก นอกจากนี้ ปัญหาความเครียดจะพบมากในคนเมืองหลวง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพราะเ ป็นเมืองที่มีแต่การแข่งขัน มลภาวะสูง และ

2. ปัจจัยภายนอก สภาพแวดล้อม มลภาวะเป็นพิษต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมการบริโภค ที่ส่วนใหญ่นิยมบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ด โดยเฉพาะอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล กาแฟ จะมีสารที่ทำให้แก่สูงหรือที่เรียกว่า สารอนุมูลอิสระ

" พฤติกรรมการนอนหลับยังทำให้คนไทยแก่เร็วด้วย เนื่องจากคนส่วนใหญ่นิยมนอนช่วงเวลาเที่ยงคืนเป็นต้นไป &nb sp; ทั้งๆที่ เวลาที่ควรนอนหลับพักผ่อนมากที่สุด คือ ช่วง 4 ทุ่ม และตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า เพราะเป็นช่วงที่ธาตุหนุ่มสาวหรือโกรท ฮอร์โมน ( growth hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญเติบโตจะหลั่งออกมามากที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว

แต่หากเรานอนหลับหลังจากนั้นก็จะลดการหลั่งของธาตุหนุ่มสาว สังเกตได้ว่าคนกรุงจะแก่เร็วมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่จะนอนดึกๆ กัน แต่หากลองมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนเสียใหม่ แค่เพียง 1 สัปดาห์ ก็จะทำให้รู้สึกสดชื่นทันที "

นพ.กฤษดากล่าวว่า สำหรับวิธีชะลอความเสื่อมของสังขารนั้นไม่ยาก ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพของตัวเอง โดยใช้วิธีง่ายๆ ที่เรียกว่า 3 H ประกอบด้วย

1.Healthy Weight รู้จักควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน โดยการเลี่ยงแป้งและน้ำตาล โดยเฉพาะในอาหารจำพวกขนมปัง เค้ก เบเกอรี่ ส่วนน้ำตาล หลายคนหันมาบริโภคสารให้ความหวานแทน ซึ่งสารเหล่านี้ข้อควรระวังคือ ไม่ควรนำมาประกอบอาหาร หรือถูกความร้อนสูงๆ เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นทั้งใน และต่างประเทศระบุว่า เมื่อสารให้ความหวาน ประเภทน้ำตาลเทียมได้รับความร้อนสูงๆ อาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งได้
ดังนั้น การจะบริโภคน้ำตาลเทียมควรเลือกสารให้ความหวานที่ผลิตจากธรรมชาติอาทิ ชะเอมเ ทศ หรือหญ้าหวาน เป็นต้น

2.Healthy diet and Lifestyle บริโภคผักใบเขียวโดยควรบริโภคประมาณวันละ 5 กำมือ และปลาทูอีก 2 ตัว อาหารเหล่านี้จะมีสารอาหารที่ช่วยต้านพวกสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ หรืออนุมูลอิสระได้ และควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย และ

3.Healthy Mind คือต้องมีกำลังใจที่ดี มีจิตและสมาธิอยู่กับปัจจุบัน โดยให้ฝึกหายใจเข้าลึกๆ ให้ท้องป่อง และกลั้นหายใจสัก 4 วินาที จากนั้นค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกจะช่วยให้มีสติดีขึ้น

นพ.กฤษดากล่าวว่า ที่สำคัญควรรู้จัก ฝึกการใช้สมอง 2 ซีกอย่างสม่ำเสมอ เพราะการที่ใช้สมองเพียงซีกเดียวจะทำให้เกิดความเสื่อมตามมา หากเราถนัดมือขวาก็แสดงว่า สมองซีกซ้ายเราเด่น เราต้องทำให้สมองซีกขวาเด่นด้วย โดยการฝึกใช้มือซ้าย หรือให้ฝึกการใช้สัมผัสอื่นๆ ที่เราไม่ถนัด นอกจากนี้การที่เรารู้สึกหิวนิดๆ ก็จะทำให้โกรทฮอร์โมนหลั่งออกมามากด้วย เพราะเมื่อร่างกายเริ่มหิวจะสั่งไปที่สมองให้หลั่งสารให้สมองรู้สึกโล่ง จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น การที่รู้สึกดีก็จะทำให้จิตใจดีช่วยชะลอความแก่ไปในตัว

" ที่สำคัญการออกกำลังกายจะช่วยได้มากในเรื่องนี้ ยิ่งการซิตอัพจะทำให้ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนขึ้น เพราะจะทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย ดังนั้น ในแต่ละวันควรซิตอัพอย่างน้อย 30 ครั้ง " นพ.กฤษดา กล่าว และว่า ปัจจุบันคนทำงานนิยมดื่มกาแฟกันมาก ทั้งๆ ที่กาแฟเป็นตัวทำลายความอ่อนเยาว์ แต่จะให้เลิกกาแฟคงยาก ดังนั้น ไม่ควรทานกา แฟเกินวันละ 1 แก้ว หรือควรทานกาแฟเพียงวันละ 2 ช้อนชาก็เพียงพอ ที่สำคัญอย่าลืมว่า กาแฟยิ่งร้อนเท่าไหร่ก็จะยิ่งเพิ่มความเข้มข้นให้กับคาเฟอีนซึ่งเป็นตัวอนุมูลอิสระที่สำคัญ

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

แก่แค่อายุแต่ใบหน้าใสปิ๊ง


แก่แค่อายุแต่ใบหน้าใสปิ๊ง

มีทางเลือกสารพัดที่จะชะลอความชรา วิธีไหนที่จะช่วยปกป้องผิวหนัง-หน้าตาไม่ให้ร่วงโรยก่อนวัยอันควร


ทุกวันนี้คนไทยมีทางเลือกในการชะลอความแก่ร้อยแปดพันเก้าวิธีการเหล่านั้นส่วนใหญ่มักต้องเสียเงินซื้อผลิตภัณฑ์มาประกอบจึงสมบูรณ์ แต่สารเคมีที่สะสมบนใบอาจส่งข้างเคียงได้เช่นกันเมื่อใช้ไปนาน


ศ.นพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร ศูนย์ชะลอความเสื่อมและความชราภาพ ภาควิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช บอกว่า การป้องกันไม่ให้หน้าตาหรือผิวหนังแก่ก่อนวัยอันควร สามารถทำได้ง่ายมากเพียงดูแลผิวให้โดนแสงแดดน้อยที่สุด และเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มาจากธรรมชาติมีส่วนผสมของสารเคมีน้อยที่สุด


สิ่งที่ทำให้ความสวยงามของผิวพรรณคนเราลดน้อยลงมักมีสาเหตุจากโรคที่เกิดกับผิวหนังแบบเรื้อรังเป็นหลัก อาทิ โรคสิว ผด ผื่นคัน ที่ทำให้เจ้าตัวต้องมีพฤติกรรมล้วง แคะ แกะ เกา อย่างอดไม่ได้ หลังจากเสร็จภารกิจเหล่านั้นแล้ว ผลที่ตามมาคือรอยแผลและจุดด่างดำที่หายยากนั่นเอง ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ชะลอความเสื่อมและความชราภาพกล่าว


ปกติธรรมชาติของร่างกายทุกคนจะสร้างกรดไขมันที่บริเวณผิวหนัง เพื่อดักจับและป้องกันสิ่งแปลกปลอม ทั้งเชื้อโรค สารเคมี และเชื้อแบคทีเรีย ไม่ให้ซึมแทรกผ่านชั้นผิวหนังเข้าไปยังร่างกายจนเกิดโรค


อย่างไรก็ตามเมื่ออายุมากขึ้น อวัยวะต่างๆ ที่เคยมีประสิทธิภาพในการปกป้องร่างกายจากสิ่งแวดล้อมก็มีแต่จะเสื่อมไป ไม่ว่าจะเป็นจมูกที่มีขนคอยดักจับฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคบางชนิด หรือในลำคอเราเองที่เวลามีสิ่งแปลกปลอมจะมีเสมหะสกัดกั้นทำให้ไอหรือสำลักออกมา


การดูแลสุขภาพผิวให้มีสุขภาพดีอยู่สม่ำเสมอนับเป็นสิ่งสำคัญหากผิวสะอาดไร้มลทิน เชื้อโรคก็ไม่สามารถเข้ามากล้ำกรายได้ และก็จะเปล่งปลั่งตามช่วงวัยไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร


สิ่งที่ต้องดูแลเป็นพิเศษสำหรับผิวหนังที่ห่อหุ้มร่างกายของเราได้แก่ การหลีกเลี่ยงจากแสงแดดที่ร้อนจัด หรือสิ่งแวดล้อมที่มลภาวะทางอากาศค่อนข้างเป็นพิษสูง ผู้เชี่ยวชาญกล่าว


หากจำเป็นต้องอยู่ในสถานที่มีมลพิษสูงก็ควรสวมเสื้อผ้าที่มิดชิดหรืออาจใช้ร่มครีมกันแดด เสริมก็ได้ เพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นต่อเนื่องนานๆ จะทำให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น เกิดเป็นรอยกระ ฝ้า จุดด่างดำ ในระยะยาว สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษาอีกมหาศาล


นอกจากการทำลายผิวจากแสงแดดแล้วยังมีการติดเชื้อที่รูขุมขน เนื่องจากการโกน ถอนขนที่ไม่สะอาดหรือทำไม่ดี จนเกิดเป็นการอักเสบหรือขนคุด หากติดเชื้อนานๆ รักษาไม่หายจะกลายเป็นฝี โดยจะพบในเด็กมากสุด เนื่องจากเด็กเมื่อคันก็จะเกา และไม่ล้างมือไปจับบริเวณอื่นของร่างกาย เชื้อก็ลุกลามไปทั่วจนรักษาหายได้ช้าและเป็นแผลเป็นเช่นกัน


การที่ผิวหนังแห้งเหี่ยวมากเมื่ออายุมากขึ้นหรือมีกระเนื้อบริเวณใบหน้าและไรผมเด่นชัด เป็นเพราะร่างกายของเราสัมผัสกับแสงแดดบ่อยและนาน ทำให้คอลลาเจนที่ให้ความชุ่มชื้นในชั้นผิวหนังเสื่อมเร็วกว่าเวลาจริง


หรือถ้าบริเวณแขนขามีรอยจุดด่างสีขาวมากๆ ก็หมายความว่าเมลานิลในชั้นผิวหนังถูกทำลายแล้วเช่นกันทำให้เม็ดสีผิวทำงานไม่สม่ำเสมอจนเป็นรอยด่างขาวดำปรากฏให้เห็น


นอกจากรอยฝ้า กระ จุดด่างดำที่พบว่ามีสาเหตุจากการสัมผัสแสงแดดสะสมมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาวแล้ว ยังมีรอยตีนกาที่หลายคนต่างกลัวหนักหนาอีกอาการหนึ่งที่สามารถมาก่อนวัยอันควรได้เช่นกันหากไม่ป้องกันตนเองจากแสงแดด


แต่แพทย์ก็ไม่แนะนำให้ไปฉีดสารทำให้ตึงที่มีอยู่ตามท้องตลาด เพราะระยะยาวสารเหล่านั้นอาจสะสมในร่างกายและทำให้ระบบคุ้มกันของร่างกายผิดเพี้ยนไปได้


การเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับร่างกายไม่ว่าส่วนไหนก็ตามควรดูเอกสารการรับรองด้านการแพทย์ประกอบเป็นหลัก หากมีการกล่าวอ้างลอยๆ ว่ามีคนใช้แล้วได้ผลหรือไม่ได้ผลยินดีคืนเงินไม่ควรซื้อมาใช้ เพราะผลิตภัณฑ์ทุกอย่างต้องมีการทดสอบทางการแพทย์ก่อนออกมาวางจำหน่ายอยู่แล้ว แพทย์ศูนย์ชะลอความเสื่อมและความชราภาพกล่าว


ผศ.คัคนางค์นาคสวัสดิ์ ภาควิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า การดูแลสุขภาพผิวไม่ใช่เพียงการตื่นมาอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเท่านั้น แต่ควรมีการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเสริมที่มีคุณภาพมาช่วยบำรุงด้วย


ผลิตภัณฑ์ที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ เครื่องสำอางหรือสบู่ที่มีฤทธิ์เป็นกรด หรือแอลกอฮอล์ สารเร่งผิวขาวอย่างปรอท เพราะจะไปยับยั้งการสร้างเซลล์ที่มาดูแลผิวหนังและเมื่อใช้ไปนานจะเปลี่ยนเป็นรอยด่างดำบนผิวหนังด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังกล่าว


วัยรุ่นไม่ควรที่จะบีบสิวเพราะวิธีนี้จะทำให้แผลแตก และเกิดการกระจายตัวของเชื้อโรคลุกลามจนเกิดเป็นสิวจำนวนมหาศาลผุดขึ้นมาอีกหลายตุ่ม และไม่ควรล้างหน้าบ่อย เพราะจะเป็นการทำลายเซลล์เนื้อเยื่อที่ช่วยป้องกันเชื้อโรคมาเกาะบริเวณผิวหนัง และเป็นสิวขึ้นง่ายกว่าเดิม


ปกติคนเราจะมีผิวอยู่ 2 แบบคือแบบมันและแบบแห้ง ก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ทุกครั้งควรอ่านฉลากให้ละเอียดว่าส่วนผสมในผลิตภัณฑ์นั้นเหมาะกับเราหรือไม่ ไม่ควรเลือกซื้อตามเพื่อนหรือตามคำโฆษณา หรืออาจซื้อมาทดลองทาที่ท้องแขนเพื่อดูอาการแพ้ก่อนก็ได้ เพราะผิวคนเรามีการดูดซึมที่แตกต่างกันออกไป


นอกจากการดูแลด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแล้วการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อผิวให้ครบตามความต้องการของร่างกายก็มีความจำเป็นไม่แพ้กัน


โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินจำพวกกรดอะมิโนแอซิด วิตามินอี และวิตามินซี ซึ่งหากไม่แน่ใจว่าวันหนึ่งรับประทานเพียงพอหรือขาดอะไรหรือไม่ก็สามารถปรึกษาแพทย์ที่ดูแลเรื่องโภชนาการด้วยก็ได้


การออกกำลังกายถือเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันจากเชื้อโรคได้อีกวิธีหนึ่งแต่สำหรับผู้ที่เริ่มมีอายุไม่ควรเลือกวิธีการที่หักโหมหรือรุนแรงเกินไป เพราะอาจได้รับอนุมูลอิสระมากจนเกินความจำเป็น หรือเกิดการบาดเจ็บจากการหักโหมและรักษาได้ยาก


การจะชะลอความแก่ให้มาเยือนช้าเราไม่ควรนอนดึก เพราะโกรทฮอร์โมนจะหลั่งในช่วง สามทุ่มถึงห้าทุ่ม ระหว่างที่ร่างกายมีการหลับสนิท ซึ่งการหลับสนิทนั้นต้องไม่มีเสียงหรือแสงรบกวนให้ตื่นขึ้นมากลางดึกด้วย ผศ.คัคนางค์กล่าว


ทั้งนี้ การจะชะลอความเหี่ยวย่นร่วงโรยก่อนวัยอันควรเราต้องรู้สาเหตุที่มาก่อนว่าเป็นเพราะอะไร จากนั้นจึงใช้วิธีที่ตรงจุดเพื่อป้องกันในระยะยาว ไม่ว่าจะทาครีมหรือสวมเสื้อผ้าเพื่อป้องกัน ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นการทำงานของต่อมในร่างกาย ทำจิตใจให้สบายและไม่วิตกกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายจนเป็นอาการหน้าดำค่ำเครียด

ที่มา bangkokbiznews

เคล็ดลับการดูแลผิว ก่อนเข้าวัยทอง

เคล็ดลับการดูแลผิว ก่อนเข้าวัยทอง

เมื่อเข้าสู่วัยทอง ผิวพรรณที่เคยสดใสเต่งตึง จะเริ่มเสื่อมสภาพไป โดยเฉพาะผู้หญิง เนื่องจากขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน การดูแลผิวพรรณอย่างถูกวิธีจะช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของผิว และทำให้ผิวพรรณคงความงามต่อไป แม้ว่าอายุจะมากขึ้นก็ตาม


ทั้งหญิงและชายควรเริ่มใส่ใจดูแลผิวพรรณตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่มสาว เพื่อให้เซลล์ผิวแข็งแรงมาแต่เดิม จะดีกว่าเพิ่งมาดูแลเมื่ออยู่ในช่วงวัยทอง หรือกันไว้ดีกว่าแก้นั่นเอง


โครงสร้างของผิวหนัง


ชั้นหนังกำพร้า เป็นชั้นที่อยู่นอกสุด ทำหน้าที่รักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว รักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ และป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย


เมื่อเข้าสู่วัยทอง ชั้นหนังกำพร้าจะเริ่มบางลง ผิวหนังถลอก ติดเชื้ออักเสบ เกิดอาการแพ้เป็นผื่นได้ง่าย ในบางราย เซลล์เนื้อเยื่ออาจเกิดการแบ่งตัวผิดปกติ กลายเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งผิวหนังได้


ชั้นหนังแท้ ประกอบไปด้วยเส้นใยที่ประสานกัน เพื่อช่วยเสริมความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ มีต่อมเหงื่อทำหน้าที่สร้างและขับน้ำออกจากร่างกายเพื่อปรับอุณหภูมิ และต่อมไขมันทำหน้าที่ขับไขมันออกมาปกป้องผิว นอกจากนี้ยังมีปลายเส้นประสาทและปลายของหลอดเลือดแดงและท่อน้ำเหลืองอยู่ภายในชั้นหนังแท้ ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเซลล์ผิวหนัง


เมื่อเข้าสู่วัยทอง ชั้นหนังแท้จะบางลงเช่นกัน โดยเฉพาะในหญิงวัยทอง เส้นใยที่ประสานกันอยู่จะขาดความยืดหยุ่น ทำให้ผิวหนังเกิดรอยเหี่ยวย่น ต่อมเหงื่อจะมีจำนวนลดลงและเสื่อมประสิทธิภาพ จึงขับเหงื่อออกจากร่างกายได้น้อย ทำให้ทนต่ออากาศร้อนได้น้อยลง ต่อมไขมันก็ทำงานน้อยลง ผิวหนังจึงแห้งและเป็นขุยได้ง่าย ส่วนปลายประสาทรับความรู้สึกก็จะทำงานลดลงเช่นกัน


ชั้นไขมัน ทำหน้าที่ช่วยลดการกระแทกและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เมื่อเข้าสู่วัยทอง ผิวหนังชั้นไขมันในตำแหน่งต่างๆ จะหนาบางไม่เท่ากัน ไขมันบริเวณเอว สะโพก ช่วงขา และใต้คาง จะหนาขึ้น ในขณะที่ไขมันบริเวณวงแขนและส้นเท้าจะบางลง


นอกจากสภาพผิวพรรณที่เปลี่ยนแปลงไปในวัยทองแล้ว เส้นผมและขนก็จะลดจำนวนลงและมีขนาดบางลง ทำให้ผมบาง ยิ่งกว่านั้นยังเกิดผมหงอกเนื่องจากเซลล์เม็ดสีเสื่อมสภาพไป นอกจากนี้ เล็บก็ยังเปราะบางและหักได้ง่าย


อย่างไรก็ตาม การเสื่อมสภาพตามวัยดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้ผิวพรรณเปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ถึงประมาณ 70% เกิดจากสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดจะค่อยๆ ทำลายผิวพรรณทีละเล็กทีละน้อย ทำให้ผิวหนังขาดความยืดหยุ่นและเกิดรอยเหี่ยวย่น เมื่อถูกแสงแดดเป็นเวลานานๆ จะทำให้ผิวหนังหนาและหยาบกระด้าง มีจุดด่างดำตามบริเวณที่ถูกแสงแดด หรืออาจทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้


นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดริ้วรอยบนผิวหนัง ได้แก่ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษต่างๆ มลภาวะสารเคมี ความร้อน ความอ้วน การสูบบุหรี่ การขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าในท่าซ้ำๆ แม้แต่การนอนในท่าเดิมซ้ำๆ เช่น นอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่งเป็นประจำ ก็ทำให้เกิดริ้วรอยจากการนอนทับขึ้นได้

ที่มา
http://i-puk.com/beauty/wrinkle-4.php

โบท็อกซ์ คืออะไร ทำไมลบริ้วรอยได้

โบท็อกซ์ คืออะไร ทำไมลบริ้วรอยได้

ริ้วรอย ที่เกิดขึ้นบน ใบหน้า ของคนเรานั้น เกิดจากการ แสดงสีหน้า และ อารมณ์ ต่างๆ ซ้ำๆ กล้ามเนื้อ มัดที่เราใช้ แสดง สีหน้า และ อารมณ์ ก็จะเกิดการหดตัวทำให้ ผิวหนัง ที่อยู่เหนือ กล้ามเนื้อ นั้น เกิดเป็น รอยใ ห้เห็น หรือที่เรียกว่า “ รอยย่น ” เมื่อเราฉีด BTA เข้าใน กล้ามเนื้อ ที่มี ริ้วรอย ในปริมาณยาเพียงเล็กน้อย ยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งการนำกระแสประสาทที่ส่งมายัง กล้ามเนื้อ บริเวณนั้น ทำให้เกิดการคลายตัว เมื่อ กล้ามเนื้อ คลายตัว ผิวหนัง ด้านบนของ กล้ามเนื้อ นั้นก็จะเรียบและไม่มีรอยย่น ส่วนการทำงานด้านอื่นๆ ของเส้นประสาทเป็นปกติ เช่น การรับรู้ความรู้สึกต่างๆ เป็นปกติ


การออกฤทธิ์ของยา เป็นการออกฤทธิ์เฉพาะที่ หรือออกฤทธิ์เฉพาะบริเวณที่ฉีดเท่านั้น ไม่มีผลกับ กล้ามเนื้อ ส่วนอื่นๆ เมื่อคุณแสดง สีหน้า และ อารมณ์ ต่างๆ สีหน้า คุณดูเป็น ธรรมชาติ เพียงแต่ ริ้วรอย หายไปเท่านั้น

โบทอกซ์ botox ความรู้เบื้องต้น และการฉีดลบรอยย่น


โบท๊อกซ์ โบทอกซ์ หรือ botox เป็นพิษที่เกิดจาก โบทูลินุม แบคทีเรีย ซึ่งมีความเป็นพฺษต่อระบบประสาท แต่จากการนำมาใช้พบผลข้างเคียงคือผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้แพทย์ประยุกต์มาใช้เพื่อลบรอยย่นบนใบหน้า


Botulinum toxin หรือโบโทลินุม เกิดจากแบคทีเรียชนิดไม่ใช้อากาศ ที่เรียกว่า Clostridium botulinum พบในอาหรกระป๋องที่มีเชื้อ โดยเมื่อผู้ได้รับประทานเข้าไปจะเกิดอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ อัมพาต ซึ่งถ้ากล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต ก็จะถึงแก่ชีวิตได้


อาการเริ่มจาก ปากแห้ง ตาพร่า คลื่นไส้ อ่อนแรงแขนขา พูดลำบาก หายใจไม่ได้ เรียกว่าอาการ โบทูลิซึ่ม Botulism ต่อมา มีการพยายามสกัดสารนี้ออกมา และมีการนำมาใช้ในการแพทย์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1980 โดยจักษุแพทย์ และเริ่มนำมาใช้โดยอายุรแพทย์ระบบประสาท ในการรักษา ภาวะตาเข ภาวะหนังตากระตุก แก้มหรือคอกระตุก หลังจากการใช้ในการแพทย์ระยะหนึ่ง พบว่า คนไข้เกิดชอบใจเนื่องจากรอยย่นที่หัวคิ้วหายไป จึงนำมาใช้ในการรักษารอยย่นชนิดที่เกิดจากกล้ามเนื้อ ใบหน้าทำงานมากไป และแพร่หลายจนบัดนั้น


การออกฤทธิ์

ออกฤทธิ์ โดยการไปบล๊อก ตัวส่งสารสื่อประสาท acetylcholine ของกล้ามเนื้อ ทำให้สารสื่อประสาท ทำงานไม่ได้ กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัว โดยจะออกฤทธิ์ ประมาณ 3-6 เดือน


ในไทย มีการนำเข้ามาสองบริษัท ซึ่งเป็นท๊อกซินชนิด serotype A ทั้งคู่


ข้อบ่งชี้

รักษารอยย่นของใบหน้าที่เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เช่นหน้าผาก หรือหัวคิ้วจากการขมวดคิ้ว เปลี่ยนรูปทรงของใบหน้า ที่เกิดจากการคลายตัวของกล้ามเนื้อ เช่น ผู้ที่กรามใหญ่ กล้ามเนื้อกรามทำงานมาก ฉีดแล้วเรียวเล็กลงได้ รักษาภาวะเหงื่ออกมากผิดปกติ hyperhydrosis โดยไม่ทราบสาเหตุ เช่นที่ฝ่ามือ เท้า รักแร้ หน้า


ข้อห้ามทำ

- มีปัญหาแพ้โบท๊อกซ์ หรือ โปรตีนอัลบูมิน
- ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร
- มีความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้ออยู่แล้ว เช่น มัยแอสทีเนีย myasthenia gravis หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอื่น
- เลือดออกง่ายผิดปกติ
- ยาบางตัวมีผลต่อโบท๊อกซ์ เช่นยากลุ่มยาแอนติไบโอติกส์ ควินิน


การดูแลหลังฉีด

ภายหลังฉีด ควรอยู่ในท่านั่ง หรือยืนประมาณ 4 ชม. เพื่อกันการไหลของยาไปที่อื่น ใช้กล้ามเนื้อ คือขมวดคิ้ว บ่อยๆให้ยาจับกับตัวรับดีๆ อาจมีจ้ำเลือดเล็กๆไม่ตองทำอะไร ไม่ควรอบซาวน่าสักสามสี่วัน ใช้เครื่องสำอางได้ตามปกติ อาจมีอาการตึงหนักหน้าใน 3-4 วันเป็นปกติ ไม่ต้องกังวล หายไปใน 1-2 สัปดาห์ ยาจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 5 วัน เต็มที่ใน 2-4 สัปดาห์ อยู่ได้นาน 3-6 เดือน ยิ่งฉีดหลายครั้ง ยิ่งอยู่ได้นานขึ้น


ปัญหาแทรกซ้อน

- หนังตาบนตก เกิดจากการฉีดไม่ถูกวิธี มักเป็นนาน 1-3 เดือน
- ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร
- คิ้วตก เกิดจากการกระจายยาไปไกลกว่าปกติ หรือฉีดผิดวิธี
- มุมปากตก
- จ้ำเลือด
- ตาแห้ง
- แพ้ ผื่นคัน

นพ.กิจการ จันทร์ดา

ที่มา
http://i-puk.com/beauty/wrinkle-6.php

5 นิสัย ช่วยให้ห่างไกลริ้วรอย

5 นิสัย ช่วยให้ห่างไกลริ้วรอย

เคล็ดลับดีๆ ช่วยป้องกันใบหน้าไม่ให้มีริ้วรอยก่อนวัยกับ 5 นิสัยง่าย ๆ ช่วยคุณห่างไกลริ้วรอย


1. ถ้าคุณชอบนอนคว่ำหน้า เลิกนิสัยนั้นซะ ปรับท่ามาเป็นนอนหงาย เพื่อกันไม่ให้ใบหน้าคุณเสียดสีจนเกิดเป็นริ้วรอย


2. เมื่อพูดคุยกับคนอื่น พยายามเลี่ยงการแสดงอารมณ์ดราม่าจัด ๆ ด้วยการยกหน้าผากขึ้นลง มีวิธีสื่อสารด้วยท่าทางอื่นอีกมากมาย ที่สามารถใช้แทนท่าทางนี้ได้ และเมื่อคุณอยู่คนเดียวลองฝึกวางสีหน้าให้ดูผ่อนคลายบ้างระมัดระวังการแสดงอารมณ์ทางสีหน้าแบบไร้ความหมาย เช่น บางคนนั่งกินข้าวเฉย ๆ ก็ยังขมวดคิ้วอยู่


3. หันมาออกกำลังกาย และรับประทานผักผลไม้อย่างสม่ำเสมอ


4. ทาครีมกันแดดปกป้องผิวทุกวันแม้คุณจะอยู่แต่ในบ้านก็เถอะ เสมือนเป็นขั้นตอนต่อเนื่องทุกครั้งหลังจากที่คุณทามอยส์เจอไรเซอร์เสร็จ


5. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ สิ่งเหล่านี้จะพรากความชุ่มชื้นไปจากผิวของคุณ

ที่มา
http://i-puk.com/beauty/wrinkle-1.php

มารู้สาเหตุทั้งหมดของริ้วรอย

มารู้สาเหตุทั้งหมดของริ้วรอย

ริ้วรอย" เป็นปรากฎการณ์การเปลี่ยนแปลงของผิวที่ผู้หญิงกังวลที่สุด เพราะคิดว่านั่นคือ เครื่องหมายการันตีความร่วงโรยแห่งวัย แต่ช้าก่อน...ความจริงแล้วริ้วรอยมีหลายประเภท บางริ้วรอยที่มาอย่างถูกที่ถูกเวลาก็เสริมราศีให้เจ้าของได้เหมือนกัน มาทำความรู้จักกับเจ้าตัว (ที่คุณคิดว่า) ร้ายกันค่ะ

โดยปกติผิวหน้าคุณเต่งตึงสวยงามอยู่ได้ เพราะสารคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิว ฉะนั้นเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง หรือความสมบูรณ์ของคอลลาเจนเสื่อมลง ริ้วรอยย่อมเกิดขึ้น แต่เกิดช้าๆ ทีละน้อย เริ่มจากรอยเล็กๆ บางๆ จนแทบมองไม่เห็นหรือมองข้ามไป มารู้ตัวอีกทีก็เป็นรอยลึกเสียแล้ว ซึ่งในแต่ละคน แต่ละเชื้อชาติล้วนมีต้นทุนคอลลาเจนแตกต่างกัน

ส่วนคนเอเซียอย่างเรา แม้คอลลาเจนไม่แข็งแรงเท่าคนผิวดำ แต่ดีกว่าฝรั่งเยอะ เปรียบเทียบคนไทยกับฝรั่งที่อายุเท่ากันจะเห็นว่าคนไทยสาว ใส ดูดีกว่ามาก


นอกจานี้สภาวะแวดล้อม และวิถีชีวิตก็มีส่วนในการเกิดริ้วรอยด้วยเช่นกัน แพทย์ผิวหนังจึงแนะนำวิธีดูคุณภาพผิวที่แท้จริงด้วยการเปรียบเทียบระหว่างผิวที่ใบหน้ากับผิวที่ก้น ถ้าผิวที่หน้ามีริ้วรอยมากมาย ในขณะที่ก้นยังเต่งตึงอยู่ละก็ แสดงว่าพื้นฐานผิวคุณดี ปัจจัยภาพนอกเป็นตัวการทำลายคอลลาเจน และก่อให้เกิดริ้วรอย เช่น แสงแดด สูบบุหรี่จัด การที่น้ำหนักขึ้นๆ ลงๆ เป็นต้น


อย่างไรก็ตามมีการศึกษาการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าของผู้หญิง พบว่าจะแตกต่างกันตามวัยที่เพิ่มขึ้นดังนี้

- ปลายอายุ 20 เริ่มมีริ้วรอยบางๆ ที่ใต้ตา ริ้วรอยรอบๆ ตา ซึ่งเป็นผลจากการยิ้ม
- ต้นอายุ 30 มีริ้วรอยบางๆ รอบดวงตาลึกขึ้น และรวมตัวชัดเป็นรอยเหี่ยวย่น รอยตีนกาที่หางตา และริ้วรอยบางๆ ระหว่างคิ้วและบนหน้าผาก ที่เป็นผลจากกิริยาขมวดคิ้ว
- ปลายอายุ 30 รอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา หน้าผาก และหว่างคิ้วเพิ่มมากขึ้น รอยเหี่ยวย่นรอบริมฝีปาก รอยเหี่ยวใต้ตา และร่องแก้มหย่อนคล้อยตามแรงโน้มถ่วงของโลก
- อายุ 40 ขึ้นไป รอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา ริมฝีปาก หน้าผาก และหว่างคิ้ว รอยเหี่ยวย่นจากการหย่อนคล้อยของผิวหน้า เส้นริ้วรอยที่ลำคอ


ผู้หญิงส่วนใหญ่มักกังวลกับริ้วรอยบนใบหน้ามาก หรือพูดง่ายๆ กว่ากลัวแก่นั่นเอง แต่ความจริงในทางกลับกันถ้าริ้วรอยนั้นๆ เกิดขึ้นอย่างสมวัย ก็ทำให้คุณภูมิฐาน น่าเชื่อถือได้เหมือนกัน จึงขอแบ่งริ้วรอยออกเป็น 3 ประเภท คือ

1. ริ้วรอยที่(ควร)รับได้
เกิดขึ้นอย่างเหมาะสมกับวัย เช่น รอยตีนกา ร่องแก้มที่เกิดจากการยิ้ม ซึ่งจะทำให้ดูใจดี โอบอ้อมอารี มีความสุข

2. ริ้วรอยที่(ควร)รับไม่ได้
ส่วนใหญ่เป็นร่องรอยจากพฤติกรรม เกิดจากความเครียด ความกังวล ทำให้แลดูสูวัยกว่าอายุจริง เช่น บริเวณรอบริมฝีปาก หน้าผาก ระหว่างคิ้ว รวมถึงริ้วรอยใต้ตา
3. ริ้วรอยแถม

คือ ริ้วเล็กๆ จำนวนมาก ทำให้ดูเหมือนผิวไม่เรียบเนียน พวกนี้ไม่ใช่ริ้วรอยถาวร เกิดจากผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื่น เมื่อทาครีมบำรุงอย่างต่อเนื่องจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รอยพวกนี้ไม่เกี่ยวกับคอลลาเจนเลย

ส่วนวิธีแก้ไขสำคัญที่สุดคือหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ส่งผลให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย เช่น สูบบุหรี่จัดก่อให้เกิดอนุมูลอิสระตัวการทำลายคอลลาเจน การที่น้ำหนักขึ้นๆ ลงๆ ทำให้เกิดเนื้อส่วนเกินจนผิวไม่กระชับ ความเครียดทำให้เกิดรอยย่นที่หน้าผาก ขมวดคิ้วบ่อยก็เป็นรอยที่หว่างคิ้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดเป็นตัวทำลายคอลลาเจนที่ร้ายกาจที่สุด ฉะนั้นวิธีต่อสู้กับแสงแดดที่ได้ผลที่สุดคือ "หลีกเลี่ยง" แม้การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ จะช่วยปกป้องผิวของคุณได้ในระดับหนึ่ง แต่สารตกค้างจากครีมกันแดด อาจทำให้ผิวกร้าน และระคายเคือง คนผิวมันอาจทำให้เกิดสิว และสารกันแดดประเภทออยฟรี ก็มักมีค่า SPF ต่ำ เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดหลีกเลี่ยงแดดจัดมากที่สุดเท่าที่ทำได้


นอกจากนั้นก็กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาจใช้สารแอนตี้ออกซิเด้นช่วยลดอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินอี โคเอนไซน์คิว 10


สำหรับกรณีที่คอลลาเจนถูกทำลายไปแล้ว ควรกินอาหารที่มีแอนตี้ออกซิเด้น ซึ่งมีอยู่ในผักทุกชนิดวิตามินซีอยู่ในส้ม ผลไม้ ผักสีเหลือง วิตามินอีในผักสีเขียวกับถั่ว ส่วนอาหารเสริมไม่มีหลักฐานพิสูจน์ชัดเจนว่าได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์


อีกวิธีคือใช้ครีมบำรุงที่กระตุ้นร่างกายสร้างคอลลาเจน แต่อาจไม่ได้ผลมากนัก เพราะมีปัจจัยภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ครีมนั้นๆ สามารถซึมเข้าสู่ผิวหน้าได้มากน้อยเพียงไร หรือใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วย เช่น ถ้าริ้วรอยตื้นๆ ใช้เลเซอร์เย็นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเป็นระยะ ถ้าริ้วรอยลึกที่หน้าผาก หว่างคิ้วก็ฉีดโบท็อก ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะปัญหาของแต่ละคนย่อมมีวิธีแก้ไขต่างกัน ปัญหาหนังเกินควรผ่าตัดเอาหนังส่วนเกินออก เลเซอร์ไม่เหมาะกับคนทำงานกลางแดด และต้องคำนึงไว้เสมอว่าการรักษาทุกอย่างมีผลข้างเคียง และไม่ได้คงอยู่ถาวรตลอดไป


ฉะนั้นสิ่งใดป้องกันได้ย่อมดีกว่าแก้ แล้วถึงตอนแก้ก็ว่ากันตามความเหมาะสม ตามวัยดีกว่า


....................................
ข้อมูลดีๆโดย
นิตยสาร Health & Cuisine

ป้องกันริ้วรอยก่อนวัยง่าย ๆ

ป้องกันริ้วรอยก่อนวัยง่าย ๆ

ปัญหาเรื่องความสวยความงามหยิบจับมาพูดกันได้ไม่จบไม่สิ้น เพราะผู้หญิงทุกคนล้วนปรารถนามีผิวหน้าสดใส ไร้ริ้วรอยด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งริ้วรอยนี่แหละนับเป็นศัตรูตัวฉกาจของผู้หญิงที่คอยทำลายความสวยงามได้อย่างไม่น่าเชื่ออย่างเวลาคุณหัวเราะดวงตาก็หรี่เล็กลง ประเภทที่เล็กอยู่แล้วก็จะกลายเป็นตาสระอิไปโดยปริยาย แถมริมฝีปากก็แอบกว้างแบบไร้ลิมิต รวมไปถึงรอยบุ๋มบริเวณร่องแก้ม บ่อยครั้งเข้าทำให้ริ้วรอยเริ่มลึกขึ้นทุกวี่วันแบบไม่ทันตั้งตัว

แต่ทำไงได้คุณมิอาจจำกัดการหัวเราะได้ว่าในหนึ่งวันฉันขอหัวเราะเพียงครั้งเดียวเพราะคุณอาจถูกกล่าวหาจากคนรอบข้างว่าไร้ชีวิตแบบไร้รสชาติ ขาดสีสัน และสิ่งสำคัญการหัวเราะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้คุณหายป่วยจากอาการป่วยได้อย่างน่าอัศจรรย์

การปรนนิบัติผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยมีคุณสมบัติตรงตามความประสงค์ แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องราคาคงต้องนั่งคิดนอนคิดทบทวนกันอีกหลายตลบ ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยนั้น แนะนำว่าควรทาเฉพาะจุดที่มีริ้วรอย และต้องตั้งหน้าตั้งตาอดทนรอผลที่จะได้รับกันสักหน่อย อาจจะต้องหมดเงินเพื่อซื้อหลายกระปุกเลยเชียวแหละ

แต่ทำไงได้คุณมิอาจจำกัดการหัวเราะได้ว่าในหนึ่งวันฉันขอหัวเราะเพียงครั้งเดียวเพราะคุณอาจถูกกล่าวหาจากคนรอบข้างว่าไร้ชีวิตแบบไร้รสชาติ ขาดสีสัน และสิ่งสำคัญการหัวเราะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้คุณหายป่วยจากอาการป่วยได้อย่างน่าอัศจรรย์

การปรนนิบัติผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยมีคุณสมบัติตรงตามความประสงค์ แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องราคาคงต้องนั่งคิดนอนคิดทบทวนกันอีกหลายตลบ ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยนั้น แนะนำว่าควรทาเฉพาะจุดที่มีริ้วรอย และต้องตั้งหน้าตั้งตาอดทนรอผลที่จะได้รับกันสักหน่อย อาจจะต้องหมดเงินเพื่อซื้อหลายกระปุกเลยเชียวแหละ

แต่ดิฉันขอแนะนำทางเลือกใหม่ ซึ่งช่วยกระชับเวลาให้ริ้วรอยของคุณเลือนหายไปอย่างอยู่หมัด แถมเงินในกระเป๋าสตางค์คุณยังอยู่เต็มพิกัด เพียงเจียดเวลาสักเล็กน้อยก็จะบรรลุตามความต้องการของคุณ


การนวดหน้าเพื่อลดริ้วรอยเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยคุณได้ค่ะ เพราะสามารถทำให้กล้ามเนื้อ และผิวหน้าได้บริหาร เนื่องจากได้รับการกระตุ้นด้วยแรงนวดทำให้เลือดไหลเวียนดี ผิวหน้าสดใส ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น อีกทั้งเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ซึ่งนำไปปฏิบัติได้ระหว่างพักเหนื่อยจากการทำงาน เวลาตื่นนอน หรือก่อนเข้านอน


ถ้าคุณพร้อมแล้วเรามาเริ่มปฏิบัติการลดเลือนริ้วรอยกันดีกว่าค่ะ

- เริ่มต้นจากการทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดหมดจดกันเสียก่อน พร้อมกับจัดการรวบผมให้เรียบร้อย
- นั่งอยู่ในท่าสบาย ๆ จะบนเก้าอี้ หรือนอนบนเตียงแล้วแต่สะดวก ทำตัวเองให้ผ่อนคลาย และรู้สึกสบายใจให้มากที่สุด
- นำฝ่ามือทั้งสองวางไว้กลางใบหน้า แล้วลูบเป็นวงกลมจากแก้ม ขากรรไกร ขมับ หน้าผาก จมูก คางอย่างช้า ๆ เพื่อเป็นการผ่อนคลาย
- หน้าผาก วางมือทั้งสองไว้บนหน้าผาก แล้วใช้ปลายนิ้วกลาง และนิ้วนางนวดคลึงเบา ๆ จากกึ่งกลางหน้าผากเลื่อนออกไปตามแนวโค้งของคิ้ว และเลื่อนไปด้านข้างจากขมับทั้งสอง
- ดวงตา บริเวณหางตาวางปลายนิ้วกลาง และนิ้วนางไว้บริเวณหางตา แล้วเลื่อนขึ้นไปที่ขมับ เมื่อถึงขมับแล้วปล่อยมือออกทันที ส่วนบริเวณรอบดวงตาหลับตาแล้วค่อย ๆ ใช้ปลายนิ้วนางนวดเบา ๆ จากบริเวณหัวตา แล้วเลื่อนไปที่ขมับ
- แก้ม วางปลายนิ้วกลาง และนิ้วนางไว้บริเวณแก้มทั้งสอง แล้วนวดขึ้นไปที่ขมับอย่างช้า ๆ เพื่อดึงผิวขึ้นมา และช่วยต่อต้านแรงโน้มถ่วงของโลก
- ขากรรไกร ใช้ปลายนิ้วกลาง และนิ้วนางของมือทั้งสองนวดเบา ๆ บริเวณขากรรไกร เริ่มจากตรงกลางแล้วไล่ไปตลอดแนว เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
- จมูก ใช้ปลายนิ้วนาง และนิ้วกลางวางไว้บริเวณสันจมูก นวดเบา ๆ แล้วลากตรงมายังปลายจมูก และตวัดมือขึ้น
- ริมฝีปาก ใช้นิ้วกลางของมือทั้งสองข้างวางไว้บริเวณมุมปาก นวดเบา ๆ ขึ้นไปริมฝีปากด้านบน แล้วเลื่อนลงมายังริมฝีปากด้านล่าง
- คาง วางนิ้วกลางของมือทั้งสองไว้บริเวณกึ่งกลางคางให้นิ้วทั้งสองนวดขึ้นลงสลับกันจากกึ่งกลางไปบริเวณด้านข้าง



*** ทำเรียงตามขั้นตอนดังกล่าวซ้ำอีก 2 ครั้ง แต่ขอย้ำว่าอย่ากดน้ำหนักมือแรงจนเกินไป เพราะนั่นอาจจะเป็นการเพิ่มริ้วรอยให้กับคุณโดยไม่รู้ตัว ซึ่งวิธีนวดหน้าที่นำเสนอเป็นหลักการง่าย ๆ ไม่มีขั้นตอนอะไรยุ่งยากที่จะจดจำ ลองฝึกเพียงไม่กี่ครั้งก็จะจำได้ และสามารถปฏิบัติได้อย่างคล่องแคล่ว

ที่มา
http://i-puk.com/beauty/wrinkle-8.php

ตรวจหา “แววแก่” ด้วยตัวคุณเอง

ตรวจหา “แววแก่” ด้วยตัวคุณเอง

การตรวจเพื่อให้ “รู้ตัวก่อนแก่” เป็นสิ่งที่ดี แต่ก่อนที่คุณจะได้พบหมอเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นั้นจะเป็นการดีไม่น้อยที่คุณจะได้ลองชิมลางตรวจร่างกายดูด้วยตัวเองสักหน่อย เผื่อปะเหมาะเจอความผิดปกติเล็กๆน้อยๆได้ด้วยตัวเองก่อนจะได้ไปปรึกษาคุณหมอได้ทันท่วงที เพราะเดี๋ยวนี้อะไรๆก็ต้องระวังกันแจไปหมด ชาวนาถือเคียวเกี่ยวข้าวอยู่วันดีคืนดีก็ต้องถือปืนไปเกี่ยวด้วยเพราะประเดี๋ยวพ่อเจ้าประคุณหัวขโมยเรารถเกี่ยวมาลากข้าวไปหมดไร่ ดังนี้เป็นต้น

ไม่เว้นแม้แต่คนอย่างเราๆ ท่านๆ นี้บางทีก็ยากที่จะรู้ว่าเราแก่จริงหรือไม่แก่จริง เพราะคนที่รักเราเขาก็จะว่ายังไม่แก่ เอาใจให้หนุ่มสาวขึ้นอีกหลายขุม แต่พอออกไปยิ้มแฮ่แผ่ตีนกาให้ใครเห็นเข้าเขาก็พาลซุบซิบว่าแก่จริงหนอให้แว่วลอยลมมาเข้าหู ดังนั้นถ้าเรารู้ตัวเสียก่อนว่าเข้าสู่กระบวนการชรากี่คืบกี่ศอกแล้วก็จะเป็นการรอบคอบดีไม่น้อย เรามาเริ่มสังเกตด้วยตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้ากันเลย


1. เส้นผม
ใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งคีบผมสักหนึ่งกระจุกเล็กตั้งแต่รากแล้วรูดมาจนถึงปลายด้วยแรงพอประมาณแล้วดูว่ามีเส้นผมหลุดติดออกมาด้วยเกิน 6 เส้นหรือไม่ และผมนั้นติดรากหรือไม่

2. รอบตา
ดูว่าเริ่มมีถุงห้อยย้อยใต้ตานิดๆแบบโหงวเฮ้งผู้บริหารไหม มีรอยย่นละเอียดหรือรอยย่นหยาบที่หางตาหรือหัวตาหรือไม่ เพราะกล้ามเนื้อรอบตาเป็นกล้ามเนื้อที่ต้องทำงานหนักอยู่เสมอ

3. เปลือกตา
ตื่นเช้ามามีเปลือกตาบวมไหม หรือดูเปลือกตาบวมแบบฉุๆอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ซึ่งเป็นอาการแสดงของภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย มักพบบ่อยในผู้สูงวัย

4. เยื่อบุตา
ลองกดรั้งเปลือกตาล่างลงมาดูเยื่อบุแดงๆข้างในว่ายังแดงดีอยู่หรือเป็นสีจางซีดซึ่งแสดงว่ามีภาวะโลหิตจางได้ โดยมากมักพบในผู้สูงอายุ หรือถ้าพบว่าเยื่อบุตามีสีเหลืองแบบพระสังข์ทองก็ต้องระวังภาวะตับผิดปกติทั้งหลายให้ดี

5. กระจกตา
ดูที่ตาดำว่ายังดำขลับปานดวงเนตรมฤคามฤคีอยู่หรือไม่ ถ้ามีวงแหวนสีขุ่นอยู่รอบตาก็อาจต้องระวังภาวะไขมันในเลือดสูงให้ดีครับเพราะวงแหวนที่ตาดำนี้เป็นวงไขมันกับโปรตีนที่มาเกาะติดแน่นอยู่ครับไม่ทำให้สายตาผิดปกติแต่เป็นตัวที่บอกว่าร่างกายเริ่มเข้าสู่กระบวนการชราแล้ว

6. ผิวหน้า
กดผิวดูแล้วปล่อยว่ายังคืนตัวกลับมาดีอยู่หรือไม่ แม้ว่าจะไม่เด้งดึ๋งประหนึ่งลูกชิ้นใส่บอแร็กซ์แต่ก็ถือได้ว่าเป็นผิวที่สุขภาพดี เพราะเมื่อแก่ตัวลงปริมาณของคอลลาเจนและอีลาสตินที่ผิวจะน้อยลง ไขมันจะมากขึ้นทำให้ไม่ยืดหยุ่นได้ใจอย่างแต่ก่อนครับ พร้อมกันนั้นให้ดูว่ามีตีนกาใหญ่น้อยมาเยี่ยมเยือนบ้างหรือยัง ซึ่งตีนกาประเภทนี้คงไม่ได้มีประโยชน์เหมือนตีนกาของเภสัชแผนไทยหากแต่จะทำให้คุณดูยับยู่ไม่สดชื่นสดใสวัยฮิปเหมือนแต่ก่อน

7. ร่องข้างจมูก
ถ้าผิวเริ่มแก่มากขึ้นก็จะเห็นร่อง(Nasolabial fold) ชัดขึ้น ถ้าเห็นชัดดีกว่าใครเขาก็อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปอาจปลอบใจตัวเองด้วยว่ามีโหงวเฮ้งดีมีหนวดมังกรให้เห็นเด่นสมกับเป็นผู้มีบุญ

8. รูขุมขน
ขยายใหญ่หยาบเห็นชัดขึ้น บางทีเห็นเหมือนผิวส้มหรือหนังเป็ด หนังไก่(แต่คงเป็นประเภทไก่ซีพีมากกว่าไก่ฟ้า)

ที่มา
http://i-puk.com/beauty/wrinkle-5.php

คุณแก่แล้วหรือยัง

คุณแก่แล้วหรือยังดูจาก 12 ข้อนี้

1. เมื่อคุณเริ่มพูดว่า "สมัยก่อนนะ.............

2. เมื่อไม่มีใครสาดน้ำคุณในวันสงกรานต์

3. เมื่อบอยแบนด์ทำให้คุณสับสน

4. เมื่อโฆษณาโคโลญทำให้คุณนึกถึงความหลัง

5. เมื่อสวนจตุจักรร้อนเกินไปสำหรับคุณ

6. เมื่อคุณใช้รองพื้นหนาขึ้นเรื่อยๆ

7. เมื่อคุณไม่เห็นด้วยกับการแต่งกายของโบว์-จอยซ์

8. เมื่อคุณต้องหรี่วิทยุขณะขับรถ

9 . เมื่อการ์ตูนไม่รัญจวนใจคุณอีกต่อไป

10 .เมื่อคุณใส่กางเกงเอวสูงขึ้น

11. เมื่อคุณไม่คุ้นหน้าคุ้นตากับรองเท้าผ้าใบรุ่นใหม่ๆ

12. เมื่อคุณถูกชมบ่อยๆ ว่า "แหม....สาวไม่สร่างเลยนะคะ" แต่จริงๆ แล้วเค้าโกหก

ที่มา
http://i-puk.com/beauty/wrinkle-3.php

แพทย์แนะนำวิธีชะลอความแก่

แพทย์แนะนำวิธีชะลอความแก่

วิธีชะลอความแก่และป้องกันริ้วรอย ทำได้โดย

1. หลีกเลี่ยงแสงแดด
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ ในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. เพราะเป็นช่วงที่มีรังสีอัลตราไวโอเลตสูงสุด หากจำเป็นต้องออกแดดช่วงนั้น ก็ควรกางร่ม
- ใช้ครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟ 15 ขึ้นไป โดยทาครีมก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที ควรเลือกชนิดกันน้ำและไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม อาจจำเป็นต้องทาซ้ำหากต้องทำกิจกรรมที่ทำให้ครีมลบเลือนได้ง่าย


2. หลีกเลี่ยงการกระทำที่ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่น
- ควรเปลี่ยนท่านอนบ่อยๆ และใช้หมอนทรงเตี้ย เพื่อป้องกันริ้วรอยที่จะเกิดขึ้น
- ควรเปลี่ยนท่านอนบ่อยๆ และใช้หมอนทรงเตี้ย เพื่อป้องกันริ้วรอยที่จะเกิดขึ้น
- หลีกเลี่ยงการบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าซ้ำๆ เพราะจะทำให้รอยย่นเด่นชัดขึ้น
- สวมแว่นกันแดด สวมหมวก หรือกางร่มขณะออกแดด เพื่อลดการหยีตา ซึ่งจะเพิ่มรอยตีนกาให้มากขึ้น


3. หมั่นดูแลผิวให้ชุ่มชื้น
- ทาครีมหรือโลชั่น เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
- สำหรับบางคนที่จำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนทดแทน ฮอร์โมนทดแทนจะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและชุ่มชื้นขึ้นได้


4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอี ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นสารแอนตี้อ็อกซิแดนท์ที่กำจัดอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเสื่อมของผิวหนัง ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดตีบตัน ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและหลอดเลือดในสมองตีบ นอกจากนี้ยังช่วยให้สายตามองเห็นในที่มืดได้ดี และช่วยป้องกันโรคต้อกระจกในผู้สูงอายุได้
- แหล่งอาหารที่มีสารแอนตี้อ็อกซิแดนท์มากที่สุด คือผักและผลไม้ที่มีสีส้ม สีเหลือง หรือสีแดง เช่น แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ และแตงโม เป็นต้น


5. พักผ่อน ออกกำลังกาย ไม่เครียด
- พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ผิวพรรณจะสดใส
- ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอให้เหมาะสมกับวัย เพื่อช่วยให้การหมุนเวียนโลหิตในร่างกายดีขึ้น ทำให้ผิวหนังได้สารอาหารและออกซิเจนเพิ่มขึ้น
- ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ผิวหนังจะได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงเพิ่มขึ้น

หากดูแลตัวเองได้ตามนี้ รับรองว่าแม้ผิวพรรณจะไม่เต่งตึงเหมือนหนุ่มๆ สาวๆ แต่ก็เรียกได้เต็มปากเต็มคำว่า งามตามวัย ค่ะ

ที่มา
http://i-puk.com/beauty/wrinkle-9.php

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

สมุนไพร ลดความดัน


สมุนไพร ลดความดัน

ทราบหรือไม่ว่า สมุนไพรพื้นบ้านก็สามารถช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ วันนี้มีมาบอก...

- กระเทียม ซอยกระเทียมสดประมาณครึ่งช้อนชา กินพร้อมอาหารวันละ 2-3 ครั้งหรือจะใช้วิธีเคี้ยวกระเทียมสด ๆ ก็ได้ อย่ากินตอนท้องว่าง เพราะฤทธิ์ร้อนของกระเทียมจะทำให้แสบกระเพาะได้


- ขึ้นฉ่าย เลือกต้นสดมาตำ คั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือใช้ต้นสด 1-2 กำมือ ตำให้ละเอียดต้มกับน้ำ แล้วกรองเอากากออก ใช้รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนอาหาร หรือกินเป็นผักสดผสมในอาหารก็ได้


- กาฝากมะม่วง ใช้กาฝากของต้นมะม่วง นำมาตากแห้งต้มน้ำดื่มต่างน้ำชาหรือตากแห้งคั่วแล้วชงดื่ม ในบางท้องถิ่นให้ใช้กาฝากสดนำใบและกิ่ง 1 กำมือ ต้มกับน้ำ แล้วนำมาดื่ม


- กระเจี๊ยบแดง ใช้กลีบเลี้ยงแห้ง ต้มน้ำหรือชงน้ำร้อนกินเป็นชากระเจี๊ยบ ช่วยลดความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอลได้ แก้นิ่ว และลดไข้


- บัวบก ในตำรายาไทยทั่วไปใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย ขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน แต่มีตำรายาพื้นบ้านที่นำมาใช้ลดความดันโลหิตสูง โดยใช้ต้นสด 1 หรือ 2 กำมือ ต้มกับน้ำ แล้วนำมาดื่ม


ยังมีสมุนไพรอื่น ๆ ที่ใช้ปรุงอาหารเป็นประจำและมีสรรพคุณช่วยลดความดันได้ เช่น ขิง ขี้เหล็ก ผักชี ผักชีฝรั่ง มะขาม แมงลัก เป็นต้น


รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากให้ความดันโลหิตสูงลดลง ลองหาสมุนไพรที่แนะนำมาทานกันได้

วัยทอง คืออะไร


วัยทอง คืออะไร

วัยทอง Menopause

วัยทองหรือหมดประจำเดือนคืออะไร

วัยทองเป็นวัยหนึ่งของชีวิต ซึ่งเริ่มด้วย วัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัยกลางคน วัยทอง วัยรุ่นและวัยทองเป็นวัยที่รังไข่สร้างฮอร์โมนออกมาน้อยและไม่สม่ำเสมอ ทำให้มีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ วัยทองรังไข่ทำงานน้อยลงทำให้สร้างฮอร์โมนออกมาน้อยลง [ estrogen,progesterone] ทำให้บางท่านอาจจะมีประจำเดือนมากขึ้นบางคนน้อยลง บางคนประจำเดือนห่างบางคนก็มาถี่ ฮอร์โมนนี้จะช่วยในการมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ ความแข็งแรงของกระดูก ลดระดับ cholesterol


วัยทองจะเริ่มเมื่อไร
หญิงอายุตั้งแต่30 ปีขึ้นไปจน 50ปีสามารถเกิดวัยทองได้ โดยเฉลี่ยคืออายุ 51 ปีผู้ที่สูบบุหรี่จะเกิดวัยทองได้เร็วกว่าผู้ไม่สูบบุหรี่ ผู้ที่ตัดรังไข่ก็สามารถเกิดวัยทองได้ทันทีหลังตัดรังไข่

อาการเตือนของวัยทองมีอะไรบ้าง
เมื่อระดับฮอร์โมน estrogen และ progesterone ลดลงจะทำให้เกิดอาการหลายอย่างบางคนเป็นมากบางคนเป็นน้อย( ผลของเอสโตรเจนต่อร่างกาย)อาการอาจจะเป็นไม่กี่เดือนก็หาย แต่โดยเฉลี่ยประมาณ 4 ปี อาการต่างๆมีดังนี้
1. ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอเช่นมาเร็ว มาช้า มามาก มาน้อย มานาน
2. ร้อนตามตัว ผู้ป่วยจะมีร้อนโดยเฉพาะส่วนบนของร่างกาย แก้ม คอ หลังจะแดงหลังจากนั้นจะตามด้วยเหงื่อออกและหนาวสั่นในเวลากลางคืน อาการนี้จะเป็นนาน 1-5 นาที
3. ปัญหาเกี่ยวกับช่องคลอดและกระเพาะปัสสาวะ เนื่องจากระดับ estrogen ลดลงทำให้เยื่อบุช่องคลอดแห้งและบางลง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดขณะร่วมเพศ และมีการติดเชื้อในช่องคลอดบ่อยขึ้น นอกจากนั้นยังมีเรื่องกั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะเล็ดเวลาจามหรือไอ
4. การคุมกำเนิด ควรคุมกำเนิดอย่างน้อย 1 ปีหลังประจำเดือนครั้งสุดท้ายผู้ป่วยบางคนจะมีความรู้สึกทางเพศลดลง แต่บางรายมีความรู้สึกทางเพศสูงขึ้น
5. มีปัญหาเรื่องการนอน นอนหลับยาก ตื่นเร็ว อาจจะตื่นกลางคืนและเหงื่อออกมาก ผู้ป่วยจะบ่นเรื่องเหนื่อย 6. ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ผันผวนโกรธง่าย
7. การเปลี่ยนแปลงทางรูปร่าง เอวจะเริ่มหายไป ไขมันที่เคยเกาะบริเวณขาจะเปลี่ยนไปเกาะบริเวณเอวกล้ามเนื้อลดลงมีไขมันเพิ่ม ผิวหนังเริ่มเหี่ยว
8. ปัญหาอื่น เช่นปวดศีรษะ ความจำลดลง ปวดตามตัว

วัยทองกับโรค
เมื่อเข้าสู่วัยทองจะมีโรคหลายโรคเกิดมากในวัยนี้ ได้แก่ โรคหัวใจ โรคกระดูกพรุน มะเร็งเต้านม แต่ไม่ใครสามารถที่จะคาดเดาว่าจะเป็นใครจะเป็นโรคดังกล่าว แต่เราจะพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงว่าวัยทองคนใดมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอะไร ดังนั้นท่านที่อยู่ในวัยทองท่านจะต้องรู้สิ่งต่อไปนี้เพื่อการตัดสินใจรับฮอร์โมนทอแทน
• รายละเอียดเกี่ยวกับโรคหัวใจ โรคกระดูกพรุน โรคมะเร็งเต้านม
• ปัจจัยเสี่ยงของแต่ละโรค
• ผลของฮอร์โมนทดแทนต่อภาวะดังกล่าว

โรคที่มักจะเกิดกับวัยทอง
• ผู้ป่วยจะเกิดโรคกระดูกพรุนได้เร็ว
• ผู้ป่วยวัยทองจะมีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มผู้ป่วยควรควบคุมปัจจัยเสี่ยง
• มะเร็งเต้านม

เมื่อเข้าสู่วัยทองต้องทำอะไรบ้าง
• ให้รับประทานอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูง ลดไขมัน
• ลดปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
• เลิกบุหรี่และแอลกอฮอล์
• ใช้สารหล่อลื่นก่อนร่วมเพศ
• ตรวจเต้านม มะเร็งปากมดลูกทุกปี

การรักษาโรคที่มากับวัยทองโดยไม่ใช้ฮอร์โมน
ก่อนการให้ฮอร์โมนทดแทนจะต้องประเมินความรุนแรงของโรคที่พบร่วมกับวัยทองเช่นอาการร้อนตามตัว กระดูกโปร่งบางและต้องมาเปรียบเทียบกับความเสี่ยงที่จะเกิดโรคจากการให้ฮอร์โมน เช่นมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด และจะต้องพิจารณาว่ามีทางเลือกอื่นอีกหรือไม่ในการรักษาภาวะเหล่านี้

ถ้าหากท่านมีอาการร้อนตามตัวจะแก้ไขอย่างไร
• เมื่อเริ่มเกิดอาการร้อนให้ไปอยู่ที่เย็นๆ
• ให้นอนในห้องที่เย็น
• ให้ดื่มน้ำเย็นเมื่อเริ่มรู้สึกร้อน
• หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดๆ และร้อน
• หลีกเลี่ยงสุรา
• หลีกเลี่ยงความเครียด เมื่อเวลาเครียดให้หายใจเข้าออกยาวๆ ช้าและใจเย็นๆ
• ถ้าหนาวให้ใส่เสื้อหลายชั้น และหากร้อนก็สามารถถอดทีละชั้น
• แพทย์บางท่าแนะนำให้ใช้วิตามิน อีซึ่งจะลดอาการได้ร้อยละ 40 clonidine และยาลดอาการซึมเศร้ากลุ่ม SSRI เช่น Prozac Zoloft
• อาหารซึ่งมีถั่วเหลืองจะช่วยลดอาการร้อนตามตัว

อาการช่องคลอดแห้ง เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ปัสสาวะบ่อยจะแก้ไขอย่างไร
• เนื่องจากเนื้อเยื่อของช่องคลอดและกระเพาะปัสสาวะจะฝ่อทำให้เกิดอาการดังกล่าว และหากมีข้อห้ามในการรับประทานฮอร์โมนทดแทน หรือผู้ป่วยไม่อยากจะรับความเสี่ยงจากการให้ฮอร์โมนก็สามารถใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนชนิดทาช่องคลอดได ้โดยระดับยาในเลือดจะมีน้อยกว่าชนิดรับประทาน 1 ใน 4 แต่จะให้ผลดีต่อช่องคลอดมากกว่าชนิดรับประทาน 4 เท่า ในการใช้ยาครั้งแรกให้ทาทุกวันหลังจากนั้นให้ทาอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งหรือแล้วแต่การปรับของผู้ป่วย
• นอกจากนั้นบางคนอาจจะใช้ยาที่เพิ่มความชุ่มชื้นแก่ช่องคลอดแต่ไม่ทำให้เนื้อเยื่อหนาตัว อาการนอนไม่หลับและอารมณ์แปรปรวน
• ใช้ยายาลดอาการซึมเศร้ากลุ่ม SSRI ซึ่งจะไปเปลี่ยนแปลงระดับ serotonin ในสมองทำให้ลดอาการซึมเศร้า

การให้ฮอร์โมนทดแทนในผู้ป่วยวัยทอง
ก่อนการให้ฮอรโมนทดแทนจะต้องประเมินความรุนแรงของโรคที่พบร่วมกับวัยทองเช่นอาการร้อนตามตัว กระดูกโปร่งบางและต้องมาเปรียบเทียบกับความเสี่ยงที่จะเกิดโรคจากการให้ฮอร์โมน เช่นมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด และจะต้องพิจารณาว่ามีทางเลือกอื่นอีก หรือไม่ในการรักษาภาวะเหล่านั้นผู้ป่วยบางคนเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทองแพทย์จะให้ยาคุมกำเนิดรับประทานซึ่งมีผลดีหลายประการ เช่นทำให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ ลดอาการร้อนตามตัว ลดอัตราการเกิดมะเร็งรังไข่ ข้อเสียคือไม่ทราบว่าหมดประจำเดือนหรือยัง ถ้าสงสัยก็ให้หยุดยาคุมกำเนิด 4-5 เดือนแล้วดูว่าประจำเดือนมาหรือไม่ เมื่อเข้าสู่วัยทองจริงแพทย์จะพิจารณาให้ฮอร์โมนที่มีส่วนประกอบของ estrogen และ progesteroneผลดีของการให้คือ ลดอาการ ป้องกันกระดูกพรุน และป้องกันโรคหัวใจ แต่ต้องระวังโรคแทรกซ้อนคือ โรคตับอักเสบ ไขมัน triglyceride สูง โรคมะเร็งเต้านม Phytoestrogen

พืชหลายชนิด เช่น ธัญพืช ผัก ถั่วต่าง ถั่วเหลือง จะมีสารซึ่งออกฤทธิ์คล้าย estrogen แต่ยังไม่แนะนำให้ใช้รักษาเนื่องจากยังไม่มีรายงานเรื่องประสิทธิภาพ และผลข้างเคียง

ที่มา
http://variety.teenee.com/science/