วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

'3 คุณหมอ' ตัวแทนคนสูงวัย เปลือยเคล็ดสุขภาพดี มีอายุยืน

'3 คุณหมอ' ตัวแทนคนสูงวัย เปลือยเคล็ดสุขภาพดี มีอายุยืน

เมื่ออายุเพิ่มขึ้น คงจะปฏิเสธ "เจ้าโรคภัย" ที่มาพร้อมกับความเสื่อมไปตามวัยไม่ได้ โดยเฉพาะผู้สูงวัย ถือเป็นวัยที่มีความเสี่ยงต่อภาวะเจ็บป่วยได้สูง ทำให้บางคนตื่นตัว และมุ่งมั่นที่จะดูแลตัวเอง ด้วยการหาเคล็ดลับจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ทั้งอินเทอร์เน็ต นิตยสาร หรือหนังสือคู่มือมาอ่านกัน

เริ่มไขเคล็ดจาก "พญ.เยาวลักษณ์ รพีพัฒนา" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช โรงพยาบาลสมิติเวช เผยสูตรการดูแลสุขภาพในแบบฉบับของเธอว่า จะให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพใจ โดยใช้เวลาว่างอ่านหนังสือธรรมะ และฟังธรรมทุกเช้า จากนั้นเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก และผลไม้ให้มากๆ พยายามกินเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด โดยไม่กินของจุบจิบ ไม่ดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และหลังทำงานเสร็จ จะออกกำลังกายเป็นประจำ และต่อเนื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เช่น วิ่งที่บ้าน ใช้เวลาวิ่งวันละ 30 นาที

สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทองอย่างเธอ สุขภาพเป็นสิ่งที่จะต้องดูแลเป็นพิเศษ โดยเธอมีหลักง่ายๆ คือ กินน้อย พูดน้อย นอนเท่าที่จำเป็น พร้อมกันนี้ยังต้องรักษาศีล นั่งสมาธิเป็นประจำ ส่วนเรื่องของฮอร์โมน และอาหารเสริม เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน ส่วนตัวจะกินธาตุเหล็ก และแคลเซียมบำรุงกระดูก

ด้าน "พญ.สุปราณี นิราพาธพงศ์พร" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีวิทยา รังสีวินิจฉัย อีกทั้งยังเป็นคุณแม่ของโปรกอล์ฟสาวไทยหนึ่งเดียวใน LPGA "วิรดา นิราพาธพงศ์พร" เปลือยเคล็ดการดูแลสุขภาพว่า เธอจะเน้นการออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงสดชื่น กระฉับกระเฉงด้วยการว่ายน้ำครึ่งชั่วโมงทุกเช้าก่อนมาทำงาน หรือเลือกออกกำลังกายช่วงเย็นหลังเลิกงาน

นอกจากนี้ เธอยังมีเคล็ดลับเพื่อสร้างกำลังใจ และให้คุณค่ากับตัวเอง ด้วยการตรวจสุขภาพประจำปีเป็นของขวัญในวันเกิด ซึ่งถือเป็นรางวัลชีวิตที่คนในช่วงวัยนี้ต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากสตรีที่อยู่ในช่วงหมดประจำเดือน การตรวจสุขภาพประจำปีถือเป็นเรื่องที่จะละเลยไม่ได้

ทิ้งท้ายกันที่ "นพ.เฉก ธนะสิริ" ประธานกิตติมศักดิ์ชมรมอยู่ 100 ปี-ชีวีเป็นสุข ปัจจุบันอายุ 85 ปี ผู้ที่บอกกับตัวเองว่าจะอยู่ให้ถึงอายุ 120 ปี เผยเคล็ดลับการดูแลสุขภาพในหนังสือ "อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้" ว่า การปฏิบัติตนให้มีอายุยืนยาวอย่างมีพฤฒิพลังถึง 120 ปีนั้น จำเป็นต้องปฏิบัติได้ดังต่อไปนี้

1. ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หนักเบาตามอายุ แต่การออกกำลังต้องให้ได้ออกซิเจนสม่ำเสมอด้วย เพื่อให้เกิดพลังชีวิต หรือพลังแอโรบิกไปจนตายนั้น ให้ใช้หลักที่ว่า อยากมีแรง ต้องออกแรง (หรือทำงานกลางแจ้งตลอดชีวิต)

2. ต้องกินอาหารธรรมชาติ คือ พืชพรรณธัญญาหาร เช่น แป้งเชิงซ้อน ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ข้าวโพด เผือก มัน ผลไม้ และผักหลากสี หลากรส ลดเนื้อสัตว์ 4 ตีน และ 2 ตีน วันหนึ่งกิน 2 มื้อ ก็เพียงพอแล้ว งด หรือลดมื้อเย็น ใช้หลักที่ว่า กินน้อย-ตายยาก กินมาก-ตายเร็ว อาหารอายุสั้น (ผักสด ผลไม้สด) ทำให้อายุยืน ในขณะที่อาหารอายุยืน (กระป๋อง หรืออาหารซอง เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม) จะทำให้อายุสั้น

3. ต้องดื่มน้ำสะอาด น้ำเปล่าๆ วันละ 10-12 แก้ว (ไม่ดื่มขณะกินอาหาร และอย่ารอให้รู้สึกกระหายแล้วจึงดื่ม แต่ควรดื่มบ่อยๆ ไปเรื่อยๆ ดีที่สุด)

4. ต้องพักผ่อนนอนหลับให้สนิท และการทำจิตใจให้สงบ จะช่วยทำให้ภูมิต้านทานในตัวมีสูงมาก เชื้อโรคจะแพ้เรา และจะต้องไม่สร้างปัญหาชีวิตให้แก่ตัวเอง ครอบครัว และสังคม หากเป็นไปได้ ให้ฝึกเจริญสมาธิ-วิปัสสนากรรมฐาน เป็นนิจสิน ดำเนินชีวิตทุกๆ ด้านด้วยปัญญา (ศีล สมาธิ ปัญญา คือไตรสิกขา) และจงมั่นใจว่า การฝึกจิตให้นิ่งเป็นจิตที่มีพลังสูง การจะนอนหลับให้สนิท อาหารมื้อเย็นจะต้องน้อยมาก

5. หมั่นสร้างแต่กรรมดี สร้างบุญสร้างกุศล ละเว้นความชั่วทุกชนิด โดยยึดหลัก "ไตรสิกขา" คือรักษาศีล 5 ข้อ เจริญสมาธิ หรือเจริญสติก็จะเกิดปัญญารู้ เอาปัญญาไปแก้ปัญหา นอกจากนั้นก็ควรรู้จักให้ทาน (ทานเป็นทางแห่งความสุข) และตั้งโปรแกรมจิตให้กับตัวเองทุกวัน เวลาที่จะมีชีวิตยืนยาว 120 ปี อย่างมีคุณภาพ โดยพิจารณาให้เห็นชัดว่า ร่างกาย คือ ฮาร์ดแวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะต้องดูแลระมัดระวังให้ทำหน้าที่อย่างดีอยู่เสมอ ส่วนโปรแกรมที่จะป้อนเข้าไปเพื่อให้ได้ข้อมูลนั้นก็คือ ซอฟต์แวร์ ที่หมายถึง "จิต" ของเรานั่นเอง

เพราะฉะนั้น การจะตั้งใจให้ได้ผลออกมาดีนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าให้ใช้หลัก อิทธิบาท 4 หมายถึง สิ่งที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จ 4 อย่าง คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา นั่นคือความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติตัว ใจจะต้องจดจ่อกับสิ่งนั้นๆ และศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอๆ

สำหรับประวัติการเจ็บป่วย และการใช้ยารักษา และยาบำรุงในรอบ 50 ปี นพ.เฉก เป็นไข้หวัด 2 ครั้ง ไม่ต้องกินยาทุกชนิด (ยังไม่มียารักษาไวรัส) หายเอง ไม่เคยลาป่วยขณะรับราชการ และไม่เคยเบิกค่ารักษาพยาบาล เพิ่งจะเบิกค่าหยอดค่าใน 2-3 ปีนี้เอง

ถึงแม้จะสูงวัย แต่ก็ห่างไกลโรคต่างๆ ได้ เพียงแค่ดูแลตัวเอง หรือยึดแนวทางปฏิบัติของคุณหมอทั้ง 3 ท่านก็ได้ ซึ่งทีมงานหวังว่า คงจะเป็นประโยชน์กับทุกครอบครัวไม่มากก็น้อย ^_^




ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ดื่มโซดามากอาจ “ซ่า” ไม่ออกเพราะแก่เร็ว

ดื่มโซดามากอาจ “ซ่า” ไม่ออกเพราะแก่เร็ว


เราพบระดับฟอสเฟตสูงๆ ในเครื่องดื่มน้ำอัดลมและอาหารที่ผ่านกระบวนการต่างๆ (ไซน์เดลี/iStockphoto)

การศึกษาของนักวิจัยสหรัฐฯ พบว่าอาหารที่ผ่านกระบวนการและโซดาที่เสริมฟอสเฟตเพื่อ “ความซ่า” นั้น ได้เร่งสัญญาณ “ความแก่” ในหนูทดลอง อาทิ โรคไต ภาวะแคลเซียมเกาะผนังเส้นเลือดหัวใจ อีกทั้งยังเร่งความเสื่อมต่อกล้ามเนื้อและผิวหนังอย่างรุนแรง

“คนเราต้องการอาหารเพื่อสุขภาพและการรักษาความสมดุลของฟอสเฟตในอาหาร อาจเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีสุขภาพดีและมีชีวิตยืนยาว หลีกเลี่ยงฟอสเฟตทีเป็นพิษแล้วเป็นสุขกับชีวิตที่มีสุขภาพดี” ไซน์เดลีระบุคำพูดของ ดร.นพ.ชอว์กัท ราซแซค (Shawkat Razzaque) จากภาควิชาการแพทย์ การติดเชื้อและภูมิคุ้มกัน (Department of Medicine, Infection and Immunity) จากมหาวิทยาลัยทันตแพทย์ฮาร์วาร์ด (Harvard School of Dental Medicine) สหรัฐฯ

ราซแซคและคณะได้ศึกษาผลกระทบจากการได้รับฟอสเฟตปริมาณสูงในหนู 3 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นหนูที่ไม่มียีน “โกลโธ” (klotho) ซึ่งเป็นสาเหตุให้ระดับฟอสเฟตเป็นพิษต่อร่างกาย ซึ่งหนูกลุ่มนี้มีชีวิตอยู่ได้ 8-15 สัปดาห์ กลุ่มถัดมาเป็นหนูที่ขาดยีนโกลโธและยีน NaPi2a พบว่าร่างกายหนูมีฟอสเฟตในระดับต่ำ และหนูกลุ่มนี้มีอายุได้ 20 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มที่ขาดยีนเช่นเดียวกับหนูกลุ่มที่ 2 แต่กลุ่มนี้ได้รับอาหารที่ฟอสเฟตสูง ซึ่งพบว่าหนูกลุ่มสุดท้ายตายหมดภายใน 15 สัปดาห์

งานวิจัยนี้ชี้ว่าฟอสเฟตมีความเป็นพิษต่อหนูและอาจมีผลกระทบเดียวกันต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น ซึ่งรวมถึงมนุษย์ด้วย

“โซดาคือพาหนะลำเลียงคาเฟอินของผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก แต่มีฟอสเฟตเป็นผู้โดยสารมาด้วย งานวิจัยนี้ชี้ว่าความสมดุลของฟอสฟอรัสในร่างกายเรานั้นมีอิทธิพลต่อกระบวนการแก่ ดังนั้นอย่าให้ทิปแก่มันเลยนะ” นพ.เจอรัลด์ ไวสส์แมนน์ (Gerald Weissmann) บรรณาธิการวารสารฟาเซบ (FASEB) ซึ่งเผยแพร่ผลงานวิจัยนี้ให้ความเห็น

ทั้งนี้ งานวิจัยของราซแซคพบระดับฟอสเฟตสูงในอาหารผ่านกระบวนการและเครื่องดื่มโซดา รวมถึงน้ำอัดลมด้วย

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์