วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

"ฟักข้าว" ต้านมะเร็ง-ชะลอแก่



ความชรามาแน่ๆ แต่เราสามารถชะลอให้มาช้าๆ ได้ด้วยผักผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ไม่ต้องไปบินไปหาผลเบอร์รีถึงเมืองนอกเมืองนา เพราะผักพื้นบ้านของไทยเรามีอยู่มากมายที่ช่วยต้านโรคและต้านความชราได้ และที่กำลังเป็นน้องใหม่มาแรงของวงการตอนนี้คือ "ฟักข้าว" หรือ "แก๊กฟรุต" นั่นเอง

ในปัจจุบันเริ่มมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากฟักข้าวจำหน่ายในท้องตลาด หรือรู้จักกันในนาม "แก๊กฟรุต" (GAC fruit) ซึ่ง น.ส.จันทร์แรม แสนคำ นักศึกษาปริญญาโท ภาควิชาชีวเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า ฟักข้าวเป็นผักพื้นบ้านของไทยอยู่ในตระกูลเดียวกับมะระ เป็นไม้เลื้อยที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งชาวบ้านทางภาคเหนือและอีสานนิยมนำส่วนยอดและผลอ่อนของฟักข้าวมาปรุงอาหารรับประทานกันในรูปแบบต่างๆ แต่ไม่นิยมรับประทานผลสุก จึงมักมีผลแก่เหลือเป็นจำนวนมาก

"มีรายงานการวิจัยในต่างประเทศหลายฉบับระบุว่าผลฟักข้าวมีสารไลโคพีน (Lycopene) สูงกว่าในมะเขือเทศ 70-100 เท่า ซึ่งสารนี้ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก และมีแคโรทีน (carotene) มากกว่าแครอท 10 เท่า และมีรายงานด้วยว่าชาวเวียดนามนิยมบริโภคฟักข้าวมากที่สุด โดยนำส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดในผลแก่มาผสมกับข้าวสารแล้วนำไปหุงรับประทาน สามารถช่วยบำรุงสายตา แก้ปัญหาการมองไม่เห็นในช่วงกลางคืนได้ แต่ในฟักข้าวนั้นยังมีสารอื่นๆ อีหลายชนิดที่มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เช่นกัน" น.ส.จันทร์แรม กล่าว

ทั้งนี้ น.ส.จันทร์แรม ได้ร่วมกับฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ทำการศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากฟักข้าวในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุทำให้เซลล์เสื่อมสภาพและเกิดโรคต่างๆ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนภายใต้โครงการสร้างภาคีในการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาโท-เอก ของ วว. โดยนำผลสุกของฟักข้าวมาแยกเป็นส่วนเนื้อ เปลือก และเยื่อหุ้มเมล็ด แล้วแยกสกัดด้วยน้ำและเอทานอลที่ความเข้มข้นต่างๆ

จากนั้นตรวจสอบสารทางเคมีด้วยวิธีทินเลเยอร์โครมาโทกราฟี (TLC) พบว่ามีเบต้าแคโรทีน แอลฟาโทโคฟีรอล (รูปแบบหนึ่งของวิตามินอีในธรรมชาติ) และโทโคฟีรอลในรูปแบบอื่นๆ อีกจำนวนมาก อยู่ในส่วนที่สกัดด้วยเอทานอล 95% ทั้งสามส่วน และเมื่อนำไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยเทคนิคโฟโตเคมิลูมิเนสเซนส์ (PCL) พบว่าสารสกัดจากเปลือกที่สกัดด้วยเอทานอล 95% มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดสำหรับกลุ่มสารที่ละลายไขมัน และสารสกัดจากเยื่อหุ้มเมล็ดที่สกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดสำหรับกลุ่มสารที่ละลายในน้ำ

จากผลการวิจัยข้างต้นนั้นสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากฟักข้าวได้ โดยหลังจากนี้ทีมนักวิจัยจะดำเนินการทดสอบความเป็นพิษ ศึกษาฤทธิ์ต้านการทำลายดีเอ็นเอ ศึกษาฤทธิ์การก่อการกลายพันธุ์ของสารสกัดจากผลฟักข้าว เพื่อให้ได้ข้อมูลทางวิชาการที่ครบถ้วนและครอบคลุมทั้งสองด้าน

อย่างไรก็ดี ดร.ประไพภัทร คลังทรัพย์ นักวิชาการฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. ซึ่งร่วมในการวิจัยครั้งนี้

ด้วย เปิดเผยแก่ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ว่า มีการบริโภคฟักข้าวเป็นผักพื้นบ้านกันมานานแล้ว จึงไม่น่าห่วงว่าจะมีอันตรายใดๆ หากนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ แต่ต้องศึกษาเพิ่มเติมถึงวิธีการสกัดหรือแปรรูปฟักข้าวที่เหมาะสมและคุ้มค่าต่อการผลิตในระดับอุตสาหกรรม รวมถึงการเก็บรักษาสารสำคัญให้คงตัวอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้นานพอควร ซึ่งคาดว่าภายในปีหน้าน่าจะมีผลิตภัณฑ์จากฟักข้าวในกลุ่มของอาหารออกมาเป็นต้นแบบ และหากมีการต่อยอดเชิงพาณิชย์ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลสุกของฟักข้าวที่ไม่มีใครนำไปรับประทานได้เป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ การศึกษาวิจัยฤทธิ์ของสารสกัดจากฟักข้าวในการต้านอนุมูลอิสระนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพชะลอความชราจากสารต้านอนุมูลอิสระในผักพื้นบ้าน ผักไฮโดรโปนิกส์ และพืชตระกูลถั่ว ของ วว. ที่มีกำหนดระยะเวลาโครงการไว้ในระหว่างปี 2552-2555


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

"บริหารสมอง" ก่อนความจำเลือนหาย


"บริหารสมอง" ก่อนความจำเลือนหาย

เชื่อได้เลยว่า "อาการหลงๆ ลืมๆ" คงจะเคยเกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ บางครั้งต้องการไปหยิบของบางอย่าง แต่พอเดินไปหาของกลับจำไม่ได้ว่าต้องการอะไร ซึ่งเป็นเรื่องของความจำในระยะเวลาสั้น หรือบางคนทำงานจนเกิดอาการเบลอ ขี้ลืมจนกลายเป็นเรื่องปกติ หากเกิดขึ้นบ่อยๆ จนเป็นนิสัยก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มักพบอาการนี้ จนก่อให้เกิดเป็น "โรคความจำเสื่อม" ได้

กับเรื่องนี้ "นภาพร ฤทธิวีระกูล" หรือ "พี่หน่อย" หน่วย พัฒนาสุขภาพ ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า หลายคนคิดว่าโรคความจำเสื่อมเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ก็ถือว่าเป็นโรคที่สามารถคุกคามการใช้ชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ระบบต่างๆ ในร่างกายเริ่มเสื่อมลง ถึงแม้ว่าตามธรรมชาติจะมีการพัฒนาสมองตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็ตาม แต่สมองของมนุษย์มีการทำงาน โดยแบ่งเป็น 2 ซีก ระหว่างซ้ายกับขวา เมื่อเราทำงานหรือทำกิจกรรมที่ออกแรงไปในข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย ก็อาจส่งผลให้มีบุคลิกภาพในการเคลื่อนไหวที่ไม่ดี รวมไปถึงเรื่องความคิด ความจำของสมองแต่ละซีกให้มีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง

อย่างที่ทราบกันดีว่า สมองซีกซ้ายจะควบคุมการทำงานของร่างกายด้านขวา ส่วนสมองซีกขวาจะควบคุมการทำงานของร่างกายด้านซ้าย ขณะเดียวกันสมองจะแบ่งการทำงานออกเป็นระบบความจำ ระบบของประสาทการรับความรู้สึก ระบบการเคลื่อนไหวของร่างกาย ระบบการมองเห็น ระบบการควบคุมด้านอารมณ์และภาวะของจิตใจ ดังนั้นการบริหารสมองจึงเป็นการเสริมสร้างระบบการทำงานให้ปรับความสมดุลของ ร่างกายทั้งสองด้าน หากไม่มีการบริหารสมองเราจะเกิดความเคยชินตามร่างกายด้านที่มีความถนัดด้าน ใดด้านหนึ่งเท่านั้น ทำให้สมองอีกซีกไม่มีการพัฒนา

สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ควรมีการบริหารสมอง ส่วนใหญ่จะเป็นในผู้สูงอายุที่หลงๆ ลืมๆ ความ สามารถในการจำลดน้อยลง คือความจำในระยะเวลาสั้นๆ จะทำได้ดี แต่ความจำในระยะเวลาที่ยาวจะทำได้ไม่ดีมากนัก หรือบางคนอาจจำอะไรไม่ได้เลย ซึ่งการบริหารสมองจะเป็นการกระตุ้นเซลล์ประสาทในสมองให้มีการเชื่อมโยงและ ถ่ายทอดข้อมูลแก่กันทั้งซีกซ้ายและซีกขวา เพราะปกติเซลล์สมองของแต่ละคนมีมากกว่า 1 ล้านเซลล์ แม้ว่าการบริหารสมองจะไม่ได้ช่วยให้เซลล์สมองทั้งหมดเกิดการทำงานที่มี ประสิทธิภาพได้ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันทั้งระบบของสมอง ทำให้เกิดการสร้างกระบวนการคิดวิเคราะห์ที่ดีได้

ทั้งนี้ การเริ่มบริหารสมองตั้งแต่เด็กเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการช่วยชะลออาการหลง ลืมเมื่อเข้าสูวัยชรา หากมีการบริหารอย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายมีพัฒนาการที่ดีขึ้นและการทำงาน ของระบบต่างๆ ในร่างกายก็ดีขึ้นตาม พี่หน่อยบอกเคล็ดลับการบริหารสมองเพื่อให้สมองทั้งสองซีกทำงานไปพร้อมๆ กันว่า เริ่ม จากการกระตุ้นเซลล์สมองด้วยการดื่มน้ำสะอาด หรือค่อยๆ จิบทีละนิด หากร่างกายขาดน้ำจะทำให้เลือดไม่ไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของสมอง ส่งผลให้การบริหารสมองไม่ประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้การบริหารสมองไม่ควรทำในช่วงเวลาที่อิ่มหรือหิวเกินไป ขณะที่ทำการบริหารสมองต้องทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ควบคุมการหายใจ โดยให้การหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ

ขั้นตอนที่ 1 กระตุ้น การทำงานของเซลล์สมอง ระบบการรับความรู้สึก โดยจะเลือกบริหารที่เป็นปุ่มของเซลล์สมองซึ่งจะอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น บริเวณขมับ โดยใช้ปลายนิ้วมือกดเบาๆ ตรงขมับทั้ง 2 ข้าง จากนั้นนวดเป็นวงกลมประมาณ 1 นาที ซึ่งวิธีนี้จะกระตุ้นกระบวนการคิดสร้างสรรค์ และอีกส่วนหนึ่งที่ควรบริหารอยู่บริเวณกระดูกไหปลาร้า ใช้วิธีการนวดเป็นวงกลมเหมือนกันแต่จะสลับข้างกัน โดยใช้มือซ้ายกดเบาๆ บริเวณปุ่มกระดูกไหปลาร้าด้านขวา ส่วนอีกมือจะวางไว้บริเวณหน้าท้อง จากนั้นก็ทำสลับข้างกันจนกว่าจะรู้สึกว่าผ่อนคลาย

ขั้นตอนที่ 2 เป็นการบริหารการเคลื่อนไหวร่างกายแบบสลับข้าง ด้วยการวิ่งที่ให้เท้ากับแขนเคลื่อนไหวสลับกัน เช่น ถ้าเริ่มก้าวเท้าขวา ดังนั้นแขนซ้ายก็จะแกว่งตาม หรืออาจบริหารแบบเบาๆ โดยการย่ำเท้าอยู่กับที่ประมาณ 2-3 นาที รวมถึงวิธีการบริหารสมองจากการนับเลขแบบสลับข้างด้วยการนับเลขที่มือ เช่น ถ้ามือข้างช้ายนับ 1 มือข้างขวาก็จะนับ 2 และก็ทำสลับกันไปเรื่อยๆ ตามต้องการ ทั้งนี้การบริการสมองแบบสลับจะช่วยให้กระบวนการทำงานของสมองจะเกิดการสมดุล

ขั้นตอนที่ 3 เป็นการคลายความตึงของเส้นประสาท โดยยืดส่วนต่างๆ ของร่างกายให้ตึง เช่น การยืดแขน ยืดขา และการผ่อนคลายสมองด้วยการใช้นิ้วมือนวดเคาะตั้งแต่หน้าผากไปจนทั่วศีรษะ ซึ่งท่านี้จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี


อย่างไรก็ตาม พี่หน่อยแนะนำและฝากทิ้งท้ายว่า การ บริหารสมองสำหรับผู้สูงอายุควรเน้นเป็นท่าที่ง่ายๆ ไม่หักโหมร่างกายจนเกินไป ผู้สูงอายุที่มีโรคความดันสูงควรหลีกเลี่ยงการทำท่าที่ต้องก้มหรือลุกขึ้น ยืนเร็วๆ เพราะอาจจะทำให้หน้ามืดได้ ทางที่ดีหากไม่มั่นใจหรือผู้สูงอายุบางคนที่ทรงตัวได้ไม่ค่อยดีก็สามารถนั่ง ทำได้ การบริหารสมองควรทำอย่างต่อเนื่องทุกวันและสามารถทำได้ตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ ไปจนถึงผุ้สูงอายุ ซึ่งเป็นกิจกรรมภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าเด็กๆ มีการบริหารสมองร่วมกับคุณตาคุณยาย นอกจากจะช่วยให้สมองเกิดพัฒนาการ ยังช่วยให้ผู้สูงอายุในบ้านจดจำท่าในการบริหารสมองได้และช่วยให้ท่านมี สุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างความรักความอบอุ่นในครอบครัวอีกด้วย

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

อยู่อย่างไรหลังเกษียณ

ถ้าการทำงานคือการก้าวย่างสู่โลกใหม่ของเด็กที่เพิ่งจบการศึกษา ชีวิตหลังเกษียณก็คงจะเป็นการก้าวสู่โลกใหม่อีกโลกหนึ่งเหมือนกันสำหรับคนที่มีอายุ 60 ปี และกำลังจะเดินไปถึงจุดนั้นในปลายเดือนกันยายนที่จะมาถึงนี้

มีใครสักคนบอกไว้ว่า บางครั้งแรงบันดาลใจเล็กๆอาจนำมาซึ่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ขอเพียงคุณกล้าที่จะเริ่มต้นนับหนึ่งจากก้าวเล็กๆที่ละก้าว ในที่สุดมันอาจนำมาซึ่งสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตของคุณและอีกหลายๆคน เช่นเดียวกับผม

สิ่งที่ยากที่สุด ก่อนที่ผมเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงชีวิต เพื่อให้หลุดพ้นจากหายนะที่มาจากปัญหาเรื่องเงินๆทองๆ คือ การเอาชนะจิตใจตัวเองให้มีความกล้า ขอเพียงอย่ากลัวที่จะเริ่มก้าวเดินออกไป ก้าวลงสู่สนาม เล่นด้วยตัวเอง

ขอเพียงเปลี่ยนมุมมองของความคิด คิดบวกให้เป็น ฝันให้ยิ่งใหญ่ และศรัทธาในสิ่งนั้นถึงแม้ระหว่างทางจะมีอุปสรรค แต่ อุปสรรคไม่ใช่ร่องรอยแห่งความล้มเหลว แต่เป็นริ้วรอยแห่งความสำเร็จ

หากคุณมุ่งมั่นในพันธะสัญญาทางจิตใจของคุณ เมื่อชีวิตของคุณก้าวเดินมาถึงจุดหนึ่ง ความสุขในชีวิตจะเกิดขึ้นเมื่อคุณมีอิสรภาพทางการเงิน และเมื่อคุณมีการวางแผนเตรียมการให้กับชีวิตมาอย่างดีคุณจะสนุกกับชีวิตหลังเกษียณ เพราะรู้แน่ชัดแล้วว่า ชีวิตของการทำงานที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งชีวิต ควรจะมาถึงจุดที่จะพักผ่อน ปล่อยให้เงินที่เก็บหอมรอมริบมาอย่างมีวินัย ที่มีอยู่ใน “กองทุนเพื่อความมั่งคั่ง” เริ่มทำงานแทนเรา เพื่อช่วยให้มีชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุข

ต่างกับคนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่รู้จะวางตัวอย่างไร เมื่อต้องถอด “หัวโขน”ที่เคยใส่ไว้ บนตำแหน่งหน้าที่การงานในอดีต หลายคนปรับตัวเองไม่ได้ เมื่อไม่มีบริวารแวดล้อมเหมือนเมื่อก่อน พยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อไขว่คว้าหาตำแหน่งใหม่รองรับ เพราะรู้สึกตัวเองยังมีคุณค่า และกลัวที่จะไม่สนุกกับชีวิตหลังเกษียณที่ดูเหมือนเป็น”คนไร้ค่า”ในสังคม ไม่อยากกลับไปนั่งเลี้ยงหลาน หรือ ปลูกต้นไม้ เลี้ยงปลา หรือหางานอดิเรกอื่นๆทำ

สำหรับคนที่ก้าวเดินมาตามเส้นทางของการเปลี่ยนแปลงชีวิต นอกเหนือไปจากการเตรียมพร้อมในเรื่องของเงินๆทองๆเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ต้องพึ่งลูกหลานจนรู้สึกเป็นภาระหรือ “กาฝาก”ของสังคมแล้ว ถ้าไม่อยากลำบากผมอยากแนะนำให้เตรียมความพร้อมอีก 2 เรื่องเอาไว้แต่เนิ่นๆอีกด้วย คือ เรื่องที่อยู่อาศัยและ สุขภาพ

สิ่งที่หลายคนมักจะลืมนึกไปถึง คือการเตรียมความพร้อมเรื่องที่พักอาศัย เพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามวัย ซึ่งควรจะโยกย้ายมาอยู่ที่ชั้นล่างของบ้านเพื่อความสะดวก ทำให้คุณอาจจะต้องสร้างบ้าน หรือปรับปรุงบ้านใหม่ให้เรียบร้อยเสียตั้งแต่เนิ่นๆ

ขณะเดียวกัน ควรมีการเตรียมความพร้อมเรื่องสุขภาพ โดยมั่นใจว่า มีการเตรียมหลักประกันด้านสุขภาพเอาไว้อย่างดี ซึ่งหากไม่มีหลักประกันที่ได้รับจากภาครัฐ ก็ควรจะมีกรมธรรม์ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือ เลวร้ายที่สุดก็ต้อง มีการกันเงินบางส่วนเอาไว้เวลาฉุกเฉิน นอกเหนือจาก เงินต้นที่เราสะสมเอาไว้ในกองทุนเพื่อความมั้งคั่ง เพราะรายจ่ายที่สำคัญมากหลังเกษียณ คือ รายจ่ายในการดูแลสุขภาพ

ที่สำคัญคือ คุณต้องระมัดระวังที่จะไม่ปล่อยให้มีหนี้สิน หรือ ก่อหนี้สินใหม่ๆโดยเด็ดขาด เพราะต้องไม่ลืมว่า โอกาสในการหารายได้จากการทำงานของคุณนั้นแทบจะหมดลงแล้ว คุณจึงจำเป็นต้องใช้เงินที่คุณได้ออมและลงทุนเอาไว้ทั้งหมดเพื่อเลี้ยงชีพในแต่ละเดือน และยังต้องมีเม็ดเงินเหลือมากพอที่จะปล่อยให้เงินทำงานแทนเราต่อไป

สำหรับบางคนที่เป็นอาจจะอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง จากประสบการณ์ที่หล่อหลอมมาหลายสิบปีของการทำงาน มันอาจจะทำให้ คุณยังมีคุณค่าพอที่จะมีบางองค์กรว่าจ้างเป็นที่ปรึกษา หรือผันตัวเองไปเป็นอาจารย์พิเศษในสถาบันการศึกษาบางแห่ง ซึ่งนอกจากจะเป็นงานอดิเรกที่น่าสนใจแล้ว ยังสามารถสร้างรายได้ให้อีกทางหนึ่งด้วย

บางคนอาจจะไม่ได้รับโอกาสแบบนั้น แต่หากคิดว่าตัวเองยังมีคุณค่า และอยากจะทำงานบางอย่างเพื่อตอบแทนให้กับสังคม ก็สามารถที่จะอุทิศเวลาบางส่วน เพื่อสนับสนุนองค์กรสาธารณะประโยชน์บางแห่ง ตามความถนัดของตัวเอง แต่หากเป็นคนที่ไม่ชอบสังคมก็อาจจะหันมาให้ความสนใจกับครอบครัว ลูกๆหลานๆมากขึ้น

นอกเหนือไปจาก การเตรียมความพร้อมในเชิงรูปธรรม ที่เราดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับ ความพร้อมในเรื่องเงินๆทองๆแล้ว สำหรับคนสูงวัย ก็ควรเตรียมความพร้อมในด้านจิตใจเอาไว้ด้วย

การเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้มีความสำคัญมาก เพราะคงไม่มีประโยชน์อะไร ถึงแม้จะมีความพร้อมทั้งในเรื่องเงิน แต่กลับต้องเป็น ผู้สูงวัยที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวในสังคม ไม่มีทั้ง คู่ชีวิต ญาติมิตร เพื่อนฝูงและบริวาร

หากเราเปรียบเทียบว่า เมื่อเราเกิดมา เรามีตัวเราเองเป็น “ทุน”ชีวิต และได้รับการหล่อหลอมอบรมดูแลมาโดยบุพพการี และครูบาอาจารย์ จนสามารถที่จะจบการศึกษาไปทำงานหาเลี้ยงชีพมาได้ จนชีวิตล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย

นอกเหนือจาก สินทรัพย์ในรูปของตัวเงินหรือทรัพย์สมบัติต่างๆ ที่ทำให้เราสร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของเรา เพื่อให้มีความมั่งคั่งในชีวิตได้แล้ว สินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดที่จะตดิ ตัวเราไปจนวันตายก็คือ สินทรัพย์ในด้านจิตใจ หรือ “บุญบารมี” ที่เราสะสมมาตลอดชีวิต จากการต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ที่เราต้องระวังรักษาไว้ให้ดี เพื่อเป็นทุนเอาไว้ใช้ในชาตินี้ หรือชาติหน้าหากมีจริง

สิ่งที่อันตรายอย่างมากสำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานของภาครัฐ หรือเอกชนก็ตาม ก็คือ “การเสียคนตอนแก่” เพราะบางครั้ง สสู้ ะสมความดีมาตลอดชีวิตของการทำงาน แต่เมื่อถึงบั้นปลายของชีวิต เนื่องจากไม่ได้เตรียมความพร้อมในเรื่องเงินๆทองๆเอาไว้ดีพอ ก็อาจจะตัดสินใจผิดๆ ทำร้ายชื่อเสียงของตัวเองลงไป เพียงเพราะหวังใน “ลาภ ยศ สรรเสริญ” ที่เป็นเพียง “มายา”ทำให้หลายคนอาจจะต้องสูญเสียชื่อเสียงในช่วงบั้นปลายของการทำงานอย่างน่าเสียดาย

สำหรับคนที่ยังไม่เกษียณอายุ แต่เหลือเวลาอีกไม่มากนัก นอกเหนือจากการเตรียมพร้อมในการสร้างความมั่งคั่งในเรื่องเงินๆทองๆ เพื่อให้มีอิสรภาพทางการเงินในช่วงบั้นปลายของชีวิตแล้ว อย่าลืมสร้างความมั่งคั่งให้กับจิตใจตัวเอง โดยการทำหน้าที่ของแต่ละคนให้ดีที่สุด เพื่อฝากผลงานของตัวเองเอาไว้ให้คนข้างหลังเขาได้กล่าวถึงอย่างชื่นชม ดีกว่าที่จะให้ใครต่อใครเขาสาปแช่งตามหลัง

การสะสมความดี ทั้ง คิดดี พูดดี และ กระทำดี ย่อมทำให้ เราเป็นที่รักของทุกๆคนที่ ยังไม่สายจนเกินไป หากจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองในเรื่องนี้ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมเรื่องเงินๆทองๆตั้งแต่วันนี้ ถึงแม้จะไม่มีใครมาตัดสิน แต่เราก็สามารถรับรู้ด้วยใจตัวเองเมื่อวันนั้นมาถึง

บางครั้งอิสรภาพทางการเงินที่เราได้มา อาจจะไม่มีความหมายเลย หากเรายังไม่สามารถจะก้าวไปถึงการมี อิสรภาพทางจิตใจ ที่สามารถปล่อยวางได้อย่างมีความสุข จริงไหมครับ!!!

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์
8 กันยายน 2553 13:12 น.