วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เลือกกินอาหารแคลอรีน้อย ช่วยยืดอายุ

เลือกกินอาหารแคลอรีน้อย ช่วยยืดอายุ

การบริโภคอาหารที่มีแคลอรีน้อย ๆ จะช่วยยืดอายุของคนเราให้ยืนยาวได้ เพื่อเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง เราไปติดตามข้อมูลที่น่าสนใจกันเลยค่ะ...

นักวิจัยนานาชาติ ได้มีการค้นพบว่าการลดปริมาณแคลอรีในอาหารที่บริโภคลงจากปกติ หรือให้ได้มากถึงร้อยละ 30 จะชะลอความแก่ชรา ซึ่งก็เท่ากับเป็นการยืดอายุให้ยืนยาวออกไป อีกทั้ง หากลดปริมาณแคลอรีลงจนเกือบจะเท่ากับการขาดอาหาร ยังจะช่วยป้องกันการเป็นโรคหัวใจ หรือมะเร็งลงได้ถึงครึ่งหนึ่งด้วย แถมต่ออายุให้ยืนยาวได้อีกเกือบ 1 ใน 3

และจากการทดลองกับลิงวอกฝูงหนึ่ง จำนวน 76 ตัว โดยแบ่งเลี้ยงจำนวนครึ่งหนึ่ง ให้กินอาหารที่ให้ปริมาณแคลอรี่เพียงร้อยละ 30 เป็น เวลานาน 20 กว่าปี จนมันโตใหญ่ ปรากฏว่ากลุ่มที่ให้กินอาหารจำกัด ยังมีอายุยืนยาวมาจนถึงปัจจุบันมากถึงร้อยละ 37 ในขณะที่อีกครึ่งที่เหลือ ซึ่งเลี้ยงดูด้วยปริมาณอาหารตามปกติ เหลือรอดมาได้แค่ ร้อยละ 13 เท่านั้น

ทั้งนี้ หัวหน้านักวิจัยได้ระบุด้วยว่า หลักการพื้นฐานทางชีววิทยาของการจำกัดปริมาณแคลอรี่ในอาหาร ตามที่ได้ศึกษากับหนู แมลงวัน และหนอน ดูจะใช้กับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้เป็นอย่างดี ซึ่งนั่นหมายความรวมถึงคนเราด้วย

ทางที่ดีก็เลือกกินอาหารที่ดี มีประโยชน์ และเป็นอาหารที่แคลอรีต่ำไว้ก่อนก็น่าจะดีต่อสุขภาพมากที่สุดค่ะ..


ที่มา
Woman plus

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ใครไม่อยาก "กระดูกพรุน" ก่อนวัย โปรดอ่านทางนี้!

ใครไม่อยาก "กระดูกพรุน" ก่อนวัย โปรดอ่านทางนี้!

ใครไม่อยาก "กระดูกพรุน" ก่อนวัย โปรดอ่านทางนี้!

เป็นอีกหนึ่งเรื่องสุขภาพที่หลาย ๆ บ้านไม่ควรมองข้าม นั่นก็คือ "โรคกระดูกพรุน" ซึ่งปัจจุบันพบว่า ผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปมีภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้น และที่สำคัญมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นโรคนี้โดยไม่รู้ตัว

ความน่าเป็นห่วงนี้ นพ.บุญวัฒน์ จะโนภาษ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ คลินิก ศูนย์แพทย์พัฒนา เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่เคยรู้ตัวเองเลยว่าป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนมาก่อน แต่เมื่อเกิดการหักของกระดูก หรือกระดูกยุบตัวจากอุบัติเหตุจึงได้รู้ความจริง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งการรักษาอาจทำได้ยากถึงแม้จะมีหลายวิธี แต่ก็ไม่หายขาดเหมือนเก่า โดยวิธีการรักษามีทั้งการรับยา การทานยาแคลเซียมเพื่อเสริมความแข็งแรงของกระดูก การเข้าเฝือก การดามเหล็ก หรือการฉีดซีเมนต์เมื่อมีอาการกระดูกแตกหรือหักหรือยุบตัว

สำหรับบุคคลในบ้านที่มีความเสี่ยงต่อโรคดังกล่าว คุณหมอบอกว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน และชายที่มีอายุมากกว่า 60 ปี นอกจากนี้ยังรวมไปถึงคนที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 45 กิโลกรัม ทำงานโดยไม่ได้รับแสงแดด หรือเลือกรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมต่ำ และอาจเกิดขึ้นได้เช่นกันกับคนที่รับประทานทานยาขับปัสสาวะ ยาสเตียรอยด์ และยารักษาไทรอยด์ อันเป็นยาที่เพิ่มการสลายแคลเซียม รวมทั้งโรคไต ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพในการดูดซึมแคลเซียมเสียไป

"ผู้หญิงที่มีสิทธิ์เป็นโรคกระดูกพรุนได้ง่าย โดยมีข้อบ่งชี้ว่า จะต้องหมดประจำเดือนก่อนอายุ 40 ปี ถูกตัดรังไข่ 2 ข้างก่อนอายุ 45 ปี เกิดภาวะเอสโตรเจนต่ำก่อนหมดประจำเดือน มีภาวะเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการขาดฮอร์โมน ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนก่อนอายุ 60 ปี ดังนั้นการป้องกันดีกว่าการรักษา เพื่อที่จะไม่เกิดเหตุการณ์กระดูกหักเอาง่าย ๆ ครับ" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้ออธิบายเสริม

ดังนั้น การป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เป็นสิ่งที่ทุกบ้านควรให้ความสำคัญ ซึ่งบางทีด้วยอายุ หรือปัจจัยอื่น ๆไม่สามารถไปปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขได้ แต่อย่างไรก็ตามก็มีปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่สามารถเข้าไปปรับปรุงหรือลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อท่านนี้ให้คำแนะนำเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้

1. ควรทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น กะปิ กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย ผักใบเขียว รวมถึงนมเป็นประจำ

2. ออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่อร่างกายเบา ๆ เช่น การวิ่ง ยกน้ำหนัก รำกระบอง อย่างน้อย 20 นาทีต่อวันและการออกกำลังกายที่ช่วยการทรงตัวเพื่อลดความเสี่ยงต่อการล้ม

3. การโดนแสงแดดอ่อน ๆ มากกว่า 15 นาทีต่อวัน ช่วยให้ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้

4. เมื่อสงสัยว่าตัวเองหรือสมาชิกในบ้านมีภาวะกระดูกพรุน ควรป้องกันการเกิดอุบัติเหตุหกล้ม เช่นการจัดบ้านให้เรียบร้อย แสงสว่างพอเพียง ใช้พื้นที่ไม่ลื่น ระวังเรื่องน้ำที่หกบนพื้น มีราวจับช่วยการเดิน นอกจากนี้ต้องระมัดระวังการมีสัตว์เลี้ยงและเด็ก ที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้บ่อยเช่นกัน อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการยกของหนักในผู้สูงอายุ



ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ท



"เมื่อย่างเข้าสู่วัยทอง ควรปรึกษาแพทย์ โดยแพทย์อาจพิจารณาให้เอ็กซเรย์ หรือการวัดความหนาแน่นของกระดูก (BMD) โดยทั่วไปให้ทำในหญิงอายุมากกว่า 65 ปีและชายมากกว่า 70 ปี นอกจากมีปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งถ้าค่า BMD นี้น้อยกว่า -1 ถือว่ามีภาวะกระดูกบาง และถ้าต่ำกว่า -2.5 ถือว่าเป็นโรคกระดูกพรุน ควรทำการรักษาโดยการใช้ยาลดการทำลายและเพิ่มการสร้างของกระดูก" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อให้แนวทาง

ส่วนถ้าใคร หรือครอบครัวใดมีคนในบ้านเป็นโรคกระดูกพรุนอยู่แล้ว แพทย์อาจจ่ายยาที่ช่วยเพิ่มมวลกระดูกให้ด้วย ซึ่งยาเหล่านี้ คุณหมอบอกว่า ต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในการดูแลของแพทย์ หากไม่ได้รับประทานยาอย่างต่อเนื่องจะทำให้ประสิทธิผลของยาในการลดการหักของกระดูกไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่ยังมียาอีกชนิดหนึ่งเป็นยาชนิดฉีด เป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคกระดูกพรุน ใช้ฉีดปีละ 1 ครั้งทางหลอดเลือดดำ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินอาหาร หรือมีปัญหารับประทานยาไม่สม่ำเสมอ และผู้ป่วยที่ลำบากในการเดินทางมาตรวจกับแพทย์

อย่างไรก็ดี ในช่วงวิกฤตน้ำท่วมแบบนี้ คุณหมอบอกว่า บ้านไหนที่มีผู้สูงอายุ ควรระวังอุบัติเหตุที่อาจทำให้กระดูกหัก หรือแตกได้ง่าย

"ในช่วงภาวะน้ำท่วม ขณะนี้มีผู้สูงอายุ ได้รับอุบัติเหตุเพิ่มสูงขึ้น บางคนถึงกับเกิดกระดูกสันหลังยุบตัว เพราะไปช่วยคนในครอบครัว ยกของหนัก เพื่อหนีน้ำ นำของขึ้นที่สูง บางคนเดินไปสะดุดล้ม หรือลื่นหกล้ม ซึ่งไม่กี่วันที่ผ่านมา มีคนไข้ที่กระดูกมือกระดูกเท้าหักและมีคนไข้ที่กระดูกหลังยุบ เนื่องจากไปช่วยลูกหลานของตัวเองยกของ ซึ่งภายในไม่กี่วันที่ผ่านมามีคนไข้ ผู้สูงอายุเพิ่มจำนวนสูงขึ้น และส่วนใหญ่เป็นโรคกระดูกพรุนโดยไม่รู้ตัวและไม่แสดงอาการ

นอกจากนี้อีกปัจจัยหนึ่งที่น่าห่วงผู้สูงอายุในขณะนี้ก็คือควรระมัดระวัง เรื่องของการดูแลเด็กเล็กและสัตว์เลี้ยง เนื่องจากบางทีเด็กเล็กมักจะเล่นกับคุณยาย คุณย่าแรงเกินไป หรือไปอุ้มผิดท่าผิดจังหวะ อาจทำให้บาดเจ็บ และเกิดอาการกระดูกสันหลังยุบตัว หรือข้อมือข้อเท้าหักได้ หรือบางครั้งผู้สูงอายุชอบเลี้ยงสัตว์ เช่น สุนัข เวลาจูงออกไปเดินเล่นอาจเกิดลื่นหรือหกล้ม ทำให้เกิดกระดูกหักได้" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อเผย

ดังนั้น เมื่อกระดูกซึ่งเป็นโครงสร้างของร่างกายไม่แข็งแรง หรือมีความโปร่งบางและตัวเนื้อกระดูกก็ไม่แข็งแรงเท่าเดิม แม้สะดุดล้มเบา ๆ ก็อาจเกิดกระดูกหักได้โดยง่าย ทางที่ดีเราควรเรียนรู้ และรู้ทันภาวะกระดูกพรุนก่อนที่จะสายเกินไปกันดีกว่าครับ


ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000148092

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

เคล็ดลับชะลอวัย กินอย่างไรไม่อ้วน-ไม่แก่

เคล็ดลับชะลอวัย กินอย่างไรไม่อ้วน-ไม่แก่

ในยุคสมัยนี้ เชื่อว่า คุณผู้หญิงหลาย ๆ บ้าน โดยเฉพาะคุณแม่ และคุณลูกสาวส่วนใหญ่มีความตื่นตัวกับการดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น เพราะด้วยสภาพแวดล้อมในสังคมไม่ว่าจะเรื่องของมลพิษ ความเครียด และความกดดันต่าง ๆ เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพทั้งนั้น ยิ่งเครียดมากก็ยิ่งทานอย่างไม่ระมัดระวัง นำไปสู่ภาวะอ้วนตามมา และถ้าละเลยเรื่องการดูแลสุขภาพด้วยแล้ว ความแก่ก่อนวัยย่อมจะถามหาเอาได้ง่าย ๆ ซึ่งคงไม่มีใครอยากได้ยินคำว่า "แก่" กันสักเท่าไร

คำแนะนำดี ๆ จาก พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล หรือ หมอผิง ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท และผู้เขียนหนังสือ 188 เคล็ดลับชะลอวัยมาฝากกัน ซึ่งเป็นเคล็ดลับการกินอย่างไรไม่ให้อ้วน และไม่แก่ พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริงจากตัวคุณหมอเอง ว่าแต่จะมีเทคนิคอะไรบ้างนั้น ตามไปจดพร้อม ๆ กันเลยครับ

ยิ่งกิน ยิ่งผอม

เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงสงสัยว่า ยิ่งกินยิ่งผอม เป็นไปได้จริงหรือ ในเรื่องนี้ คุณหมอผิงให้คำตอบว่า เป็นไปได้ ด้วยการรับประทานอาหารเช้าทุกวัน ซึ่งต้องไม่เกิน 3 ชั่วโมงหลังจากตื่นนอน การเริ่มต้นวันด้วยอาหารเช้ามื้อใหญ่นั้น เป็นการ kick start หรือจุดหัวเทียนระบบเมแทบอลิซึมให้ร่างกาย หากเราไม่รับประทานอาหารเช้า ระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายจะทำงานได้ไม่ดี เหมือนมอเตอร์ไซค์ที่หัวเทียนบอด ส่งผลให้รู้สึกหิวบ่อย หิวทั้งวัน สิ่งที่ตามมาคือ ความอ้วน

"อาหารเช้าที่ดี ควรประกอบด้วยโปรตีนเป็นหลัก เช่น ไข่ขาว ถั่ว หรือเนื้อสัตว์ไขมันต่ำอย่างปลา หรือสัตว์ปีกไม่ติดหนัง ตามด้วยแป้งเชิงซ้อน หรือ low glycemic index food เช่น ขนมปังโฮลวีต ข้าวกล้อง ซีเรียลโฮลเกรน และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ ผัก ผลไม้เพื่อเติมสารต้านอนุมูลอิสระไว้ใช้ระหว่างวัน และเปลี่ยนจากดื่มกาแฟเป็นชาเขียวร้อน ๆ สักถ้วย จะเป็นการเริ่มต้น Perfect Anti-aging Day อย่างแท้จริงค่ะ" ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและเวชศาสตร์ชะลอวัยให้คำแนะนำ

กินให้อิ่ม..แต่น้อย

เคล็ดลับต่อมาคือ การกินเพื่อสุขภาพ และหน้าตาสดใสอ่อนเยาว์ ซึ่งคุณหมอคนเดียวกันนี้ แนะนำว่า การกินให้อิ่มแต่น้อย เพื่ออยู่อีกนาน บางคนมักเข้าใจผิดว่า รับประทานมาก แต่ออกกำลังกายมากตามไปด้วย จะได้ไม่อ้วนและไม่มีผลเสียต่อสุขภาพ

แต่ในความจริงแล้ว การรับประทานมากเกินความต้องการของร่างกาย แม้จะมีการเผาผลาญพลังงานออกไป แต่อาจก่อให้เกิดของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ ในร่างกายมากเกินจำเป็น โดยตัวอนุมูลอิสระนี้เอง คือตัวการทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของอวัยวะต่าง ๆ และสัมพันธ์กับโรคที่เกี่ยวข้องกับความชรามากมาย ดังนั้น การรับประทานช้า ๆ คอยประเมินสภาพความหนาแน่นของอาหารในกระเพาะเป็นระยะ และหยุดเมื่อรู้สึกอิ่มประมาณ 80 เปอร์เซ็นของท้อง จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีแบบชะลอวัยได้ไม่ยาก

กินแบบ "หมีอะแลสกา"

เทคนิคนี้ คุณหมอผิง ให้ความกระจ่างว่า หมีอะแลสกา เป็นหมีตัวโตที่อาศัยอยู่ในแถวขั้วโลก ซึ่งพบว่า เจ้าหมีตัวนี้เป็นสัตว์กินได้ทั้งพืช และสัตว์ โดยอาหารที่หมีนิยมกินก็คือ ปลาแซลมอน ต้นอ่อนพืชผักต่าง ๆ รวมไปถึงผลเบอรี่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะกินแต่ของที่ดี มีประโยชน์แทบทั้งนั้น ซึ่งสามารถนำมาเชื่อมโยงกับการรับประทานของเราได้เป็นอย่างดี

เริ่มต้นจากปลา พยายามทานปลาให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะปลาแซลมอน เพราะนอกจากจะให้โปรตีนอิ่มสบายพุงแล้ว ยังให้ไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย ซึ่งไปช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี คือ LDL Cholesterol และเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี คือ HDL Cholesterol ได้ ยิ่งไปกว่านั้น กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังมีคุณสมบัติเป็นอาหารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ส่งผลช่วยชะลอความเสื่อมตามวัยของร่างกายอีกด้วย อย่างไรก็ดี นอกจากปลาแซลมอนแล้ว อาจเลือกรับประทานเป็นปลาฮาลิบัต ทูน่า ซาร์ดีน หรือปลาทู สลับกันไปบ้างก็ได้


ขณะเดียวกัน ควรเตือนตัวเองให้รับประทานผลไม้เป็นประจำทุกวัน อย่างหมีอะแลสกามักจะทานผลเบอร์รี่ ซึ่งจัดเป็นผลดีเด่นทางด้านการต้านอนุมูลอิสระ นอกจากเบอร์รี่แล้ว ยังมีพรุน แพร์ แอปเปิ้ล ฝรั่ง ทับทิมรวมอยู่ในกลุ่มผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และมีน้ำตาลไม่มาก ดังนั้นในแต่ละวันควรถือเอาการรับประทานผลไม้ทดแทนขนมหวานไปเลยก็ได้

นอกจากผลไม้แล้ว ผัก และบรรดาต้นอ่อนของพืชผักต่าง ๆ เช่น ถั่วงอก ถั่วงอกหัวโต ต้นอ่อนบรอกโคลี เป็นต้น ก็มีคุณค่าทางโภชนาการไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ควรเลือกหามาดัดแปลงกับเมนูจานโปรดของคุณก็ดูน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

สำหรับบ้านที่ใช้หลักลดอาหารเพื่อสุขภาพด้วยการรับประทานมังสวิรัติ ในส่วนนี้ คุณหมอผิงบอกว่า อาจมีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามิน บี 12 ได้สูงกว่าคนรับประทานอาหารทั่วไป เพราะวิตามินชนิดนี้มีแหล่งที่มาจากเนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อขาดไปแล้ว จะทำให้ร่างกายเกิดอาการอ่อนเพลีย และไม่มีแรง นั่นเพราะขาดวิตามินบี 12 โดยไม่รู้ตัว

"อาหารมังสวิรัติ ทานได้นะ แต่เราต้องหาแหล่งโปรตีนจากพืชทดแทน เช่น เต้าหู้ ถั่วเหลือง ไม่ควรเน้นแป้งเป็นหลัก แต่ต้องมีผัก และโปรตีน ที่สำคัญสำหรับคนทานมังสวิรัติเคร่ง ๆ เรื่องของวิตามินบี 12 ถ้าไม่แน่ใจว่าขาดหรือไม่ แนะนำให้ไปเจาะเลือดตรวจดู เพราะส่วนใหญ่จะขาดวิตามินตัวนี้ หรืออาจหาวิตามินบี 12 ชนิดเม็ดมาทานเสริมทดแทนก็ได้" คุณหมอผิงแนะนำ

เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่สามารถนำไปปฏิบัติด้วยตัวเองที่บ้าน แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมเรื่องการออกกำลังกายด้วย โดยคุณหมอผิง แนะนำว่า ในแต่ละวันควรเดินบ่อย ๆ ไม่ควรนั่งอยู่กับที่ตลอดวัน อย่างน้อยควรเดินให้ครบ 19,000 ก้าวต่อวัน เพราะมีงานวิจัยพบว่า การเดินตามจำนวนก้าวข้างต้น เทียบเท่ากับการออกกำลังกายแบบแอโรบิค 30 นาที หรือถ้าไม่มีเวลาจริง ๆ พยายามเดินขึ้นบันได หรือจอดรถไกล ๆ เพื่อที่จะได้ออกกำลังขาและย่อยอาหารไปในตัวด้วย

ที่สำคัญไปกว่านั้น อย่าลืมดูแลเรื่องสภาวะจิตใจของตัวเราเองด้วย เริ่มจากพยายามนอนให้ถึง 8 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการออกงานปาร์ตี้และการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ถี่เกินไป เหล่านี้เป็นตัวก่ออนุมูลอิสระ ทำให้แก่เร็ว นอกจากนี้ พยายามอย่าให้เครียดบ่อย ๆ เพราะความเครียดทำให้คอลลาเจนถูกทำลาย ส่งผลให้เกิดริ้วรอย และผมหงอกด้วย วิธีลดความเครียดง่าย ๆ คือ การนั่งสมาธิให้ได้ประมาณ 15-30 นาทีเป็นอย่างต่ำทุกวัน

ลองนำไปปฏิบัติใช้กันดูนะครับ


ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000117352

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

เทรนด์โลกอนาคต “อาหาร” และ “ยา” แยกกันไม่ออก

ชี้เทรนด์โลกอนาคต “อาหาร” และ “ยา” แยกกันไม่ออก

ชี้เทรนด์โลกอนาคตอีกแค่ 5 ปีข้างหน้า “อาหาร” และ “ยา” จะเป็นสิ่งแยกกันแทบไม่ออก เพราะอาหารจะไม่มีไว้เพื่อให้กินอิ่มและอร่อยเท่านั้น แต่จะตอบสนองผู้บริโภคคามแนวคิด “ป้องกันดีกว่ารักษา” พร้อมชี้คนเรามักไม่รู้ตัวว่าขาดสารอาหารในกลุ่มเกลือแร่และวิตามิน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว จึงจำเป็นต้องการกิน “อาหารเสริม”

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) มีกำหนดจัดงานประชุมสัมมนาและนิทรรศการนานาชาติด้านอาหารในโลกอนาคต (InnovAsia 2001: Food in the Future: FIF2011) ระหว่างวันที่ 15-17 ก.ย.54 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจนวัตกรรมอาหารจากทั่วโลก ทั้งในทวีปยุโรปและเอเชียรวม 25 คน มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ภายในงาน พร้อมทั้งเผยมุมมองการพัฒนานวัตกรรมอาหารของโลกในศตวรรษที่ 21 อาทิ ตัวแทนจากศูนย์วิจัยอาหารไนโซ่ ประเทศเนเธอร์แลนด์, ตัวแทนจาก บริษัท เซเรบอส แห่งเอเชีย แปซิฟิก และตัวแทนจากบริษัท มารูเซน ฟาร์มาซูติคอล ญี่ปุ่น เป็นต้น

นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการ สนช. เผยถึงการจัดงานดังกล่าวแก่ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์และสื่อมวลชนว่า งานนิทรรศการอาหารในโลหอนาคตนี้จัดขึ้นทุกๆ 2 ปี โดยจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2552 และจะพยายามผลักดันให้งานดังกล่าวเป็นงานระดับนานาชาติ ซึ่งผู้เข้าชมงานน่าจะได้เห็นแนวโน้มของธุรกิจอาหารในอีก 5 ปีข้างหน้า ที่มีแนวโน้มว่าต่อไปในอนาคตนั้นอาหารและยานั้นแทบจะแยกจากกันไม่ออก

“ภายในงานจะได้เห็นนวัตกรรมอาหาร 4 กลุ่ม คือ กลุ่มอาหารเพื่อการควบคุมน้ำหนัก กลุ่มอาหารเพื่อการบำรุงสมอง ซึ่งตอนนี้กำลังมั่วๆ อยู่ เพราะมีเครื่องดื่มที่อ้างว่าดื่มแล้วฉลาด ดื่มแล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ซึ่งถ้าเราจะทำเรื่องนี้คงต้องมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ อีกกลุ่มคือกลุ่มอาหารต้านชรา ชะลอความแก่ และสุดท้ายคือกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน จะเป็นอาหารที่ช่วยเสริมเฉพาะด้าน ซ่อมแซมเฉพาะที่ เช่น บำรุงข้อ บำรุงสายตา เป็นต้น” ผู้อำนวยการ สนช. กล่าว

ทางด้าน ภก.ดร.พิสุทธ์ เลิศวิไล นายกสมาคมผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพและกรรมการสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย (FoSTAT) กล่าวในทำนองเดียวกับนายศุภชัยว่า ในอนาคตอาหารและยาจะเป็นสิ่งที่มาบรรจบกันและแยกจากกันไม่ออก เหมือนที่ปราชญ์ในอดีตเคยกล่าวไว้ว่า “จงอาหารเป็นยาและใช้ยาเป็นอาหาร” ซึ่งเห็นได้จากภูมิปัญญาจีนที่อาหารหลายอย่างใช้ประโยชน์ในทางยาด้วย ซึ่งแนวคิดแบบ “ป้องกันไว้ดีกว่าแก้” นั้นเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการอยู่แล้ว

ด้านภาพรวมของนวัตกรรมอาหารทั่วโลกนั้น ภก.ดร.พิสุทธ์กล่าวว่า ญี่ปุ่นมีตลาดอาหารสุขภาพที่ใหญ่มาก เพราะมีกฎหมายเฉพาะ ซึ่งสินค้าจะได้รับการรับรองต่อเมื่อผ่านการทดลองในมนุษย์แล้วปลอดภัยเท่านั้น ส่วนสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศเสรีนั้นสามารถอ้างสรรพคุณของอาหารได้อย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากผู้บริโภคอเมริกันนั้นฉลาดและแข็งแกร่งมาก หากสินค้าไม่ดีบริษัทจะถูกฟ้องจนล้มละลายได้ และในการกล่าวอ้างสรรพคุณเพื่อขอการรับรองจากหน่วยที่ควบคุมด้านอาหารและยานั้นต้องมีเอกสารที่พิสูจน์คุณสมบัติอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เสนอแก่หน่วยงานอย่างเพียงพอ ไม่ใช่ส่งเอกสารเพียง 2-3 แผ่นเพื่อขอการรับรอง

นายศุภชัยบอกด้วยว่า อาหารนั้นถือเป็นจุดเด่นของประเทศไทย ซึ่งต้องยอมรับว่าฐานของประเทศนั้นเป็นเกษตรกรรม หากจะขายสินค้าด้านซอฟท์แวร์หรืออิเล็กทรอนิกส์นั้นเราได้ค่าส่วนเหลื่อมการตลาด (Marketing margin) เพียงเล็กน้อย แม้มูลค่าที่ขายได้จะสูง แต่เมื่อหักลบต้นทุนแล้วเหลือส่วนต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงจำเป็นต้องหันกลับมามองจุดแข็งของประเทศ โดยแนวทางในการพัฒนานวัตกรรมอาหารจะเน้นไปที่การขายของเป็นกรัม ขายสารสกัด ซึ่งดีกว่าการขายข้าวเป็นเกวียนแล้วได้เงินแค่หมื่นกว่าบาท

“เราไม่อยากขายข้าวเป็นเกวียน ซึ่งถ้าเอาวิทยาศาสตร์เข้าไปจับเราจะเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรได้มหาศาล จากขายเป็นเกวียนก็เปลี่ยนมาขายเป็นกรัม อย่างน้ำมันรำข้าวมีต้นทุนเป็นบาทแต่ขายได้เป็นร้อย ซึ่งธุรกิจสารสกัดเป็นธุรกิจที่ สนช.ให้ความสำคัญมาก แต่ต้องสกัดให้ได้สารบริสุทธิ์ จริง” นายศุภชัยกล่าว และให้นิยามอาหารของโลกอนาคตว่า ไม่ใช่แค่อิ่มอร่อย แต่ต้องให้ผลดีในด้านสุขภาพ และต้องช่วยปรับสมดุลในร่างกายด้วย

ตัวอย่างผลงานเด่นที่จะนำเสนอภายในงาน อาทิ เครื่องดื่มผสมสารสกัดเซราไมด์ที่ได้จากสับปะรด ซึ่งมีประโยชน์ในด้านความงาม โดยช่วยให้เซลล์ผิวกระจ่างใสและได้รับความชุ่มชื้น นวัตกรรมอาหารเสริมจากญี่ปุ่น “คิวเอช” (QH) ซึ่งเป็นอีกรูปของโคเอนไซม์คิวเท็น (Q10) แต่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีกว่า โยเกิร์ตผสมสารสกัดช่วยให้แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของฟันผุตาย และสารให้รส “อูมามิ” หรือรสกลมกล่อมจากหอมหัวใหญ่ ซึ่งใช้แทนผงชูรสและเป็นวัสดุปรุงอาหารสำหรับผู้แพ้ผงชูรส เป็นต้น

อย่างไรก็ดี นวัตกรรมอาหารภายในงานนั้นเน้นที่อาหารเสริม ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ จึงสอบถามว่าการรับประทานอาหารเสริมนั้นมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ซึ่ง ภก.ดร.พิสุทธ์กล่าวว่า โดยปกติแล้วเรามักไม่ขาดสารอาหารในหมู่หลักๆ คือ โปรตีน ไขมันและคาร์โบไฮเดรต แต่มักจะขาดอาหารหมู่ย่อยคือเกลือแร่และวิตามิน ซึ่งในระยัสั้นอาจไม่ส่งผลอะไรมากนัก แต่ในระยะยาวจะมีผลกระทบอย่างแน่นอน ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีผู้สุงอายุหลายคนเป็นโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกผุ อันเกิดจากการขาดสารอาหารกลุ่มเกลือแร่และวิตามินที่จำเป็น ซึ่งเสื่อมสลายได้ง่ายจากการปรุงและการเก็บอาหารไว้นานๆ

“ถ้าร่างกายปกติ กินอาหารครบและออกกำลังกายเป็นประจำก็ไม่ต้องกินอาหารเสริมก็ได้ แต่คนเราจะมีช่วงที่ร่างกายแข็งแรงสูงสุดถึงอายุ 30 ปี หลังจากนั้นร่างกายจะเริ่มเสื่อมถอย สิ่งที่ควรทำคือควรดูแลให้การเสื่อมถอยช้าลง เริ่มจากการดูแลกินอาหารให้ครบ ออกกำลังกาย กินอาหารเสริมและดูแลสุขภาพจิต สำหรับการเลือกอาหารเสริมนั้นต้องดูความต้องการของแต่ละคน ซึ่งมีไม่เท่ากัน คนที่ต้องเดินถนน เจอมลพิษควรจะได้รับสารอาหารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี ซึ่งเป็นอาหารเสริมพื้นฐานและมีราคาถูก และง่ายที่สุดสำหรับทุกคนคือกินวิตามินและเกลือแร่รวม” ภก.ดร.พิสุทธ์กล่าว


ที่มา
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000116498

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มาดูแลผิวไม่ให้หยาบกร้านก่อนวัยกันเถอะ

เชื่อว่า คุณแม่สมัยนี้ให้ความสำคัญกับการดูแลผิวพรรณเป็นอย่างมาก เพราะไหนจะต้องนั่งทำงานในห้องแอร์อยู่บ่อย ๆ หรือไม่ก็ต้องออกไปเผชิญกับแดด และมลพิษต่างๆ ภายนอกอีก เหล่านี้คือบ่อเกิดกับปัญหาผิวพรรณดูแก่กว่าวัยที่มาพร้อมกับรอยเหี่ยวย่น กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่บั่นทอนความมั่นใจของผู้หญิงอย่างมาก

แต่หากจะป้องกันไม่ให้ผิวเสื่อมสภาพก่อนวัย ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวในแต่ละช่วงวัยด้วย เพราะผู้หญิงมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนครั้งใหญ่ ๆ ถึง 3 ครั้ง คือ ช่วงวัยรุ่น วัยกลางคน และช่วงสูงวัย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ก็จะส่งผลต่อผิวพรรณโดยตรง ดังนั้นก็ต้องมีการดูแลเติมเต็มให้ครบความต้องการของผิวในแต่ละวัย

พญ.ของขวัญ ฟูจิตนิรันดร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและศัลยกรรมเลเซอร์ เผยว่า การดูแลผิวพรรณและการป้องกันผิวเสื่อมสภาพก่อนวัย ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องมีความรู้ความเข้าใจ และปรนนิบัติผิวให้ถูกวิธีตามวัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

- วัยเด็ก เป็นวัยที่สวยตามธรรมชาติอยู่แล้ว จึงไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาผิว แค่ดูแล และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ก็เพียงพอแล้ว

- วัยรุ่น เป็นช่วงที่เปลี่ยนแปลงฮอร์โมนค่อนข้างมาก เริ่มมีประจำเดือน อาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องผิวมัน จึงต้องเน้นการดูแลเรื่องความสะอาดให้ดี ถ้าทำได้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวช่วยอื่น ๆ ให้เกินความต้องการค่ะ

- วัยทำงาน มักจะมีปัญหาเรื่องความเครียด มีชีวิตที่เร่งรีบ การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การรับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ ส่งผลต่อปัญหาผิวค่อนข้างมาก ดังนั้นจำเป็นต้องได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ พักผ่อน ออกกำลังกาย และลดเรื่องความเครียดลง จึงจะช่วยได้ค่ะ

- วัยสูงอายุ หรือ 45 ปีขึ้นไป อยู่ในวัยหมดประจำเดือน ระดับฮอร์โมนจะเปลี่ยนแปลงอีกรอบหนึ่ง ดังนั้น จึงต้องมีการเสริมอาหารที่มีฮอร์โมนเพศหญิงตามธรรมชาติให้มากขึ้น เช่น ถั่วเหลือง มะพร้าว เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังต้องใส่ใจดูแลเรื่องกระดูก และตรวจสุขภาพเป็นประจำ

"ด้วยร่างกายที่เสื่อมโทรมลง และระบบการซ่อมแซมร่างกายที่ช้าลง ทำให้ความต้องการของอาหารผิวมีมากขึ้น จึงส่งผลกระทบกับเรื่องเนื้อเยื่อและผิวพรรณ ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ในวัยนี้จึงต้องการการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องผิวพรรณมากขึ้น สารอาหารหรือวิตามินที่จำเป็นสำหรับวัยนี้ คือ กลุ่มที่สร้างคอลลาเจน หรือคอลลาเจนโดยตรง โปรตีน วิตามินซี ที่เป็นเบสในการสร้างคอลลาเจน วิตามินอี น้ำมันตับปลา ไขมันชั้นดี โคเอนไซม์ คิว10" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังกล่าว

ดังนั้น ความแตกต่างของผิวพรรณที่เห็นได้ชัดระหว่างวัยรุ่นกับวัยสูงอายุ คือ การสูญเสียคอลลาเจนในผิว ทำให้ผิวมีปัญหาริ้วรอย หย่อนยาน ดูไม่เต่งตึงเหมือนเด็ก ๆ เวลาเป็นแผลแล้วหายช้า เกิดเป็นแผลเป็น หรือเป็นสีดำขึ้นมา จึงจำเป็นต้องเสริมคอลลาเจน ซึ่งสำคัญมากสำหรับผู้หญิง เพราะถ้าไม่มีคอลลาเจนก็เหมือนกับผิวไม่มียางยืด

"ส่วนที่ประกอบกันเป็นคอลลาเจน ได้แก่ โปรตีน เพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีนเกลียว เช่น โปรตีนจากปลาทะเลน้ำลึก และโปรตีนที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น แอลคาร์นิทีน ไลซีน ซึ่งร่างกายมีความต้องการที่แตกต่างกันไป

และที่ขาดไม่ได้ คือ วิตามินอี เพราะเป็นตัวกระตุ้นให้ผิวชุ่มชื้น และช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ โคเอนไซม์ คิว 10 ยังเป็นสารสำคัญที่ช่วยสร้างพลังงานให้กับผิวในการแบ่งเซลล์ ทำให้ริ้วรอยต่างๆ ลดลงและเลือนหายไป และยังช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานปกติอีกด้วย"

โดยเราสามารถพบ โคเอนไซม์ คิวเทน จากอาหารต่างๆ เช่น เนื้อปลา เนื้อวัว เครื่องในสัตว์ ถั่วเปลือกแข็ง แต่ในระหว่างการปรุงอาหารโดยใช้อุณหภูมิสูง เช่น การปิ้ง ทอด ย่าง ซึ่งทำให้ โคเอนไซม์ คิวเทน ถูกทำลายไป การได้รับโคเอนไซม์ คิวเทน จากอาหารเสริมจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย

ดังนั้น เคล็ดลับในการดูแลผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสวยสมวัย ต้องไม่ลืมที่จะดูแลสุขภาพกาย และจิตใจให้แข็งแรงควบคู่กันด้วยนะคะ


ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000109427

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

ถั่ว สุดยอดอาหาร ชะลอความแก่



ข่าวดีสำหรับใครที่ชอบกินถั่ว ไม่ว่าจะเป็นถั่วลิสงแบบไทย ๆ หรือถั่วแบบฝรั่งอย่างอัลมอนด์ พิทาชิโอ วอลนัต รวมถึงเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ใส่ปรุงอาหารและขนมต่าง ๆ

เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า "ถั่ว" นั้นให้โปรตีน ไขมัน และพลังงานสูง สาว ๆ บางคนกินถั่วนับเม็ดเป็นอาหารว่างแทนการกินอาหารหนัก ๆ เพราะไม่ต้องการอ้วน การกินถั่ววันละนิดละหน่อยจะช่วยเสริมสารอาหารดี ๆ อย่างคาดไม่ถึง เพราะในถั่วมีทั้งเส้นใยอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง อย่างวิตามินอี และมี Linolenic Acid ช่วยบำรุงผิวหนังและเส้นผม นั่นล่ะจึงเป็นสุดยอดการชะลอความชรา

สำหรับผลดีต่อสุขภาพก็มีโอเมก้า 3 ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้ อย.ของอเมริกา ยังบอกว่า ทานถั่ววันละ 1 กำมือ ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย



ที่มา
http://health.kapook.com/view24912.html

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

ชวน"สาว40+"ออกกำลังกายให้งามสมวัย

ชวน"สาว40+"ออกกำลังกายให้งามสมวัย



หลายคนพอเริ่มเป็นคุณแม่ หรือเข้าสู่เลข 3 ปลาย ๆ ก็เริ่มเกิดความไม่มั่นใจในความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เริ่มมีไขมันมาสะสมตามจุดต่าง ๆ บางส่วนที่เคยเต่งตึงก็แปรสภาพไปสู่ก้อนเนื้อ หยุ่นไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก

วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับการออกกำลังกายจากผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม "คุณแต้ม- รุ่งนภา กิตติวัฒน์" จากกิจกรรมเวิร์คช็อป Fit & Firm for 40 Plusซึ่งจัดโดย Women 40 Plus มาฝากกันค่ะ โดยก่อนออกกำลังาย กูรูความงามได้อธิบายสั้น ๆ ว่า

"ผู้หญิงเราทุกคนพออายุเพิ่มขึ้นต้องเปลี่ยนสไตล์การออกกำลังกาย ท่าที่แนะนำในวันนี้ เป็นการดัดแปลงและนำท่าออกกำลังกายต่างๆ ที่ใช้แล้วได้ผลจริง เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้น การออกกำลังกายแบบ High Impact อาจจะไม่เหมาะกับเรา เพราะว่าจะมีการกระแทกเยอะ ข้อเข่า ขา คอ หลัง และอวัยวะต่าง ๆ ต้องการการดูแลมากกว่าสมัยยังสาว ดังนั้นท่าทางที่นำมาสาธิตกันในวันนี้ ดิฉันได้ทดลองทำมาแล้วด้วยตัวเอง รับรองว่ารูปร่างทุกคนจะดีได้ ถ้าหากตั้งใจและทำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งถ้าทำได้อาทิตย์ละ 3 ครั้งก็ถือว่าเยี่ยม”

ทั้งนี้ การออกกำลังกายจะแบ่งออกเป็นหมวดต่าง ๆ ทั้งสิ้น 3 หมวด ดังนี้ค่ะ

1. หมวดยืดกล้ามเนื้อ (ทำท่าต่างๆ ตามปัญหาของแต่ละบุคคล ท่าละ 2-3 เซ็ต เซ็ตละ 10 ครั้ง)



ท่าที่ 1 ท่าไหว้พระอาทิตย์ตามหลักโยคะ ช่วยยืดกล้ามเนื้อ ไม่ปวดหลัง แต่ไม่ช่วยให้เฟิร์ม
ท่าที่ 2 เหวี่ยงแขนและบิดลำตัว
ท่าที่ 3 ยืดตัว เอามือก้มแตะขา สลับซ้ายขวา ไล่ลมและลดเอว
ท่าที่ 4 ยืดตัว หลังตึง ก้นขมิบ ย่อตัวลง ยืดขาหลัง โล้ขาหน้า แล้วเปลี่ยนข้าง
ท่าที่ 5 ยืดตัว ยกมือเหนือหัว แอ่นตัวไปข้างหลัง หายใจออก แขม่วท้อง

2. หมวดหลัง น่อง ก้น



ท่าที่ 1 ยืนจับพนักเก้าอี้ แขม่วท้องยกขาชันเข่าขึ้น เตะขาไปด้านหลัง ไม่ต้องยกสูง ให้ต้นขา และน่องพอรู้สึกตึง แล้วเปลี่ยนข้าง



ท่าที่ 2 ยืนแยกขา มือเท้าหน้าขาย่อตัวลง คล้ายท่านั่ง แล้วยืดตัวขึ้น ท่าที่ช่วยให้ต้นขาและก้น กระชับ



ท่าที่ 3 เตะขาไปข้างหน้าและหลัง โดยแกว่งมือข้างเดียวกับขา และระหว่างทำท่านี้ให้เกร็งหน้า ท้องไปด้วย



ท่าที่ 4 ยืนจับพนักเก้าอี้ด้วยมือข้างเดียว ก้าวเท้ามาข้างหน้า ย่อเข่าแต่ไม่ติดพื้น กำมือหรือ ยกดัมเบล จากนั้นกลับท่าเดิมแล้วสลับข้าง ช่วยเรื่องก้นและต้นขาและเข่า เพราะถ้าหัวเข่าเหี่ยวย่นจะบ่งบอกอายุ แม้จะไปทำหน้ามาตึงขนาดไหนก็ตาม

3. หมวดหน้าท้อง เอว ก้น



ท่าที่ 1 นอนราบกับพื้น มือจับขาเก้าอี้ วางปลายเท้าไว้ที่ขอบเก้าอี้ ยกขาอีกข้างหนึ่ง เหยียดตรงจากนั้นยกก้นสะโพกและขาขึ้นแล้วผ่อนลง (ทำท่านี้แรกๆ อาจมีลมออกที่ช่องคลอด ซึ่งท่านี้จะช่วยกระชับภายในของผู้หญิงเราด้วย)



ท่าที่ 2 ยืนวิดพื้นกับผนัง หน้าอกต้องติดผนัง และแขม่วท้องพร้อมขมิบก้นไปด้วย ท่านี้ช่วยให้ก้นตึง



ท่าที่ 3 นอนหงาย มือประสานใต้เอว ขาชิด แล้วยกขึ้น แล้วยกลง อย่าให้ส้นเท้าถึงพื้น ท่านี้เป็น การบริหารหน้าท้อง



ท่าที่ 4 ซิต- อัพ นอนราบมือประสานท้ายทอย ยกขาและยกตัวขึ้น จากนั้นแล้วผ่อนลงอย่าให้ขาแตะพื้น



ท่าที่ 5 ท่า Jack and Knife ช่วยลดหน้าท้องและรอบเอว นอนตะแคงเอามือไว้ที่ท้ายทอย มือซ้ายยึดขอบเตียงหรือเก้าอี้ ขาชิด แล้วยกขาสองข้างขึ้นพร้อมกัน



ท่าที่ 6 นอนตะแคง มือประคองศีรษะ งอเข่าขาล่างเล็กน้อย เตะขาด้านบนไปข้างหลัง

พร้อมกันนี้คุณแต้มยังได้บอกถึงเทคนิค Fit & Firm สำหรับสาวเลข 4 มาด้วย นั่นก็คือ

- ต้องเข้าใจสรีระของเราก่อนว่า ต้องมีหน้าท้องบ้าง ไม่ใช่แบนเรียบเหมือนสาว 16
- หลายคนให้ความสำคัญแต่เรื่องหน้าท้องและห่วงยางรอบเอว จนลืมเรื่องต้นขาไปเลย และยิ่งอายุเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อส่วนล่างจะเล็กลง เราจึงต้องเพิ่มกล้ามเนื้อช่วงต้นขาเพื่อช่วยพยุงก้นอีกที
- ท่ายกดัมเบล ทำเร็วๆ จะให้ผลที่เฟิร์มแน่น ถ้าทำช้าจะช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ สำหรับคุณสาวๆ ที่เริ่มฝึกยกดัมเบล ควรจะเริ่มจากน้ำหนักน้อยไปหามาก และควรจะเปลี่ยนน้ำหนักที่ยกทุกๆ 3 เดือน
- เคล็ดลับสำหรับสาว 40+ ควรจะทำท่าพื้นฐาน ไม่ใช่ท่ายาก และให้ทำค่อนข้างช้า
- อย่ารอเวลา มีเวลาช่วงไหนก็ทำ เช่น ระหว่างทำอาหารก็ทำท่าเตะขาเพื่อช่วยให้ก้นเฟิร์ม
- จิบน้ำครั้งละนิด ระหว่างออกกำลังกายเพื่อช่วยไล่เหงื่อออกและช่วยให้ผิวชุ่มชื้น

ถึงจะเข้าเลข 4 ก็ยังสามารถฟิตแอนด์เฟิร์มได้ตลอดนะคะ


ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000040992

วิจัยพบ "วัยชรา" มีความสุขมากกว่าวัยทำงาน



ไม่แน่ว่าวัยชราอาจเป็นวัยที่หลายคนมีความสุขมากกว่าช่วงเด็ก หรือวัยทำงานไปเสียแล้ว ตราบเท่าที่คุณมีสามปัจจัยนี้อยู่กับตัว นั่นก็คือ มีสุขภาพดี มีรายได้พอสำหรับเลี้ยงตัว และมีสัมพันธภาพที่ดีกับคนรอบข้าง

เหตุที่ต้องกล่าวเช่นนั้นเป็นเพราะ ในวัยกลางคน หรือวัยรุ่น แม้คุณจะมีสามปัจจัยข้างต้นอยู่กับตัวก็ตาม แต่คุณจะถูกแรงกดดันจากสังคม จากหน้าที่การงาน จากเพื่อนฝูงให้เกิดความเครียดขึ้นได้ง่าย แต่กับผู้สูงอายุแล้ว หลาย ๆ คนยอมรับว่า แรงกดดันเหล่านั้นมีน้อยลงจนทำให้ชีวิตเป็นสุขมากขึ้นนั่นเอง

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ Lewis Wolpert ด้านชีววิทยาจาก University College London เจ้าของหนังสือ "You're Looking Very Well" กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า

"สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนในปัจจุบันก็คือ ความสุขในช่วงวัยรุ่นและวัยกลางคนนั้นน้อยลงกว่าในอดีต"

สอดคล้องกับการสำรวจเกี่ยวกับความสุขของประชากรจำนวน 341,000 คนของ The National Academy of Sciences สหรัฐอเมริกาที่พบว่า ในภาพรวม ความสุขในชีวิตของประชากรวัยกลางคนมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ แต่จะมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในตอนอายุ 40 ปลาย ๆ ถึงต้น 50 ก่อนจะมีความสุขมากที่สุดอีกครั้งเมื่อตอนอายุ 85 ปี

นั่นเป็นเพราะยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไร มนุษย์ยิ่งใช้เวลาไปกับสิ่งที่ตนรัก และสนใจทำมากขึ้นเท่านั้น ส่วนสิ่งที่เราไม่สนใจ ไม่ชอบ ก็ยิ่งถูกผลักให้ห่างออกไป

"คนที่ได้ชื่อว่า ร่ำรวยอย่างแท้จริงนั้นคือคนที่มีความเครียดในชีวิตต่ำ มีความสัมพันธ์กับคนรอบข้างในระดับดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี และไม่อยู่เพียงลำพัง" ทั้งนี้ศาสตราจารย์ Wolpert ระบุว่า ความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างคือปัจจัยหลักที่ทำให้ชีวิตในวัยชราอยู่อย่างมีความสุข

ด้านศาสตราจารย์ Andrew Steptoe ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเดียวกันกล่าวว่า "ปัจจุบัน ผู้สูงอายุในวัย 60 - 70 ปี นั้นมีความแตกต่างจากผู้สูงอายุรุ่นเดียวกันเมื่อ 30 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง เพราะผู้สูงอายุในปัจจุบันมีโอกาสทำสิ่งต่าง ๆ มากกว่า และมีโอกาสดูแลสุขภาพมากกว่า อย่างไรก็ดี การมีสุขภาพดี และการมีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอก็เป็นเรื่องสำคัญมาก พอ ๆ กับการมีคนรัก หรือใครสักคนคอยดูแล"

"ในท้ายที่สุดแล้ว เพื่อนและครอบครัวของคุณคือสิ่งที่มีค่าที่สุด"

อาจเป็นการสำรวจโดยโลกตะวันตก ซึ่งการใช้ชีวิตมีความแตกต่างจากสังคมเอเชีย โดยเฉพาะสังคมไทย แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สามปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นนั้น มีผลให้ผู้สูงอายุที่ได้ครอบครองมันในวัยชราได้อยู่มีความสุขขึ้นได้จริง ๆ และอาจมากกว่าความสุขในวัยทำงานจริง ๆ เสียด้วย

ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000039757

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ผู้หญิง 50+ รู้สึกตัวเองถูกเมิน

ความแก่ไม่ปรานีใคร หลังผู้หญิง 50+ รู้สึกตัวเองถูกเมิน

อาจเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจสาว ๆ ทุกท่าน เมื่อมีผลสำรวจออนไลน์จัดทำโดยเว็บไซต์ isme.com ของสหราชอาณาจักรระบุว่า มีผู้หญิงที่อายุ 50 ปีขึ้นไปถึง 8 คนใน 10 คนยอมรับว่า ทันทีที่ขึ้นเลข 5 พวกเธอรู้สึกได้ว่าตนเองไม่เป็นที่สะดุดตาสะดุดใจของเพศตรงข้าม หรือแม้แต่คนเดินดินธรรมดา ๆ ทั่วไปอีกแล้ว

การสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้จัดทำขึ้นโดย isme.com โดยเป็นการทำแบบสำรวจออนไลน์ที่สอบถามผู้หญิง 1,246 คนของสหราชอาณาจักร ซึ่งในสาว ๆ กลุ่มนี้มีถึง 47 เปอร์เซ็นต์ที่อายุมากกว่า 50 ปี

ไม่เพียงเท่านั้น สาว ๆ 7 คนใน 10 คนที่ตอบแบบสอบถามนี้ยังรู้สึกว่า ช่วงอายุดังกล่าวของผู้หญิงไม่ได้รับการสนใจจากบรรดาห้องเสื้อ ดีไซน์เนอร์ หรืออุตสาหกรรมเสื้อผ้าในด้านการแต่งตัวด้วย ทำให้เสื้อผ้าที่พวกเธอต้องเลือกซื้อนั้นมีแต่เสื้อผ้าเชย ๆ หรือเสื้อผ้าแนวคุณแม่

ลินดา เบลลิงแฮม ดารานักแสดงวัย 62 ปีกล่าวว่า มีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ กับชีวิตอย่างมาก เมื่อผู้หญิงเราก้าวเข้าสู่เลข 5 ของชีวิต

"การเข้าสู่วัย 50+ เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ หรือวิถีทางที่สังคมให้การยอมรับคุณ คุณจะพบได้ในทันใดว่า คุณถูกคนมองข้ามได้ง่ายมากขึ้น ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นพนักงานออฟฟิศ ผู้ชาย หรือแม้แต่บรรดาดีไซน์เนอร์"

"โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมเสื้อผ้า และแฟชั่นก็ดูเหมือนจะมองข้ามกลุ่มเราไปอย่างสิ้นเชิง และนี่ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องตื่นขึ้นมาดูความจริงที่ว่า ผู้หญิงวัย 50+ อย่างเราก็ยังต้องการดูดีมีสไตล์ อยู่นะ"

ทั้งนี้ กว่าครึ่งของผู้หญิงทีมีอายุเกิน 50 ปีในแบบสำรวจรู้สึกว่า ภาพของสาวสูงอายุที่พบเห็นตามบรรดาสื่อโฆษณานั้นค่อนข้างไม่สามารถจับต้องได้ และมักใช้นางแบบที่อายุน้อยแสดงแบบแทนนางแบบที่อายุเหมาะสมกับเสื้อผ้าดังกล่าว


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์