วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

เคล็ดลับชะลอวัย กินอย่างไรไม่อ้วน-ไม่แก่

เคล็ดลับชะลอวัย กินอย่างไรไม่อ้วน-ไม่แก่

ในยุคสมัยนี้ เชื่อว่า คุณผู้หญิงหลาย ๆ บ้าน โดยเฉพาะคุณแม่ และคุณลูกสาวส่วนใหญ่มีความตื่นตัวกับการดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น เพราะด้วยสภาพแวดล้อมในสังคมไม่ว่าจะเรื่องของมลพิษ ความเครียด และความกดดันต่าง ๆ เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพทั้งนั้น ยิ่งเครียดมากก็ยิ่งทานอย่างไม่ระมัดระวัง นำไปสู่ภาวะอ้วนตามมา และถ้าละเลยเรื่องการดูแลสุขภาพด้วยแล้ว ความแก่ก่อนวัยย่อมจะถามหาเอาได้ง่าย ๆ ซึ่งคงไม่มีใครอยากได้ยินคำว่า "แก่" กันสักเท่าไร

คำแนะนำดี ๆ จาก พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล หรือ หมอผิง ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท และผู้เขียนหนังสือ 188 เคล็ดลับชะลอวัยมาฝากกัน ซึ่งเป็นเคล็ดลับการกินอย่างไรไม่ให้อ้วน และไม่แก่ พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริงจากตัวคุณหมอเอง ว่าแต่จะมีเทคนิคอะไรบ้างนั้น ตามไปจดพร้อม ๆ กันเลยครับ

ยิ่งกิน ยิ่งผอม

เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงสงสัยว่า ยิ่งกินยิ่งผอม เป็นไปได้จริงหรือ ในเรื่องนี้ คุณหมอผิงให้คำตอบว่า เป็นไปได้ ด้วยการรับประทานอาหารเช้าทุกวัน ซึ่งต้องไม่เกิน 3 ชั่วโมงหลังจากตื่นนอน การเริ่มต้นวันด้วยอาหารเช้ามื้อใหญ่นั้น เป็นการ kick start หรือจุดหัวเทียนระบบเมแทบอลิซึมให้ร่างกาย หากเราไม่รับประทานอาหารเช้า ระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายจะทำงานได้ไม่ดี เหมือนมอเตอร์ไซค์ที่หัวเทียนบอด ส่งผลให้รู้สึกหิวบ่อย หิวทั้งวัน สิ่งที่ตามมาคือ ความอ้วน

"อาหารเช้าที่ดี ควรประกอบด้วยโปรตีนเป็นหลัก เช่น ไข่ขาว ถั่ว หรือเนื้อสัตว์ไขมันต่ำอย่างปลา หรือสัตว์ปีกไม่ติดหนัง ตามด้วยแป้งเชิงซ้อน หรือ low glycemic index food เช่น ขนมปังโฮลวีต ข้าวกล้อง ซีเรียลโฮลเกรน และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ ผัก ผลไม้เพื่อเติมสารต้านอนุมูลอิสระไว้ใช้ระหว่างวัน และเปลี่ยนจากดื่มกาแฟเป็นชาเขียวร้อน ๆ สักถ้วย จะเป็นการเริ่มต้น Perfect Anti-aging Day อย่างแท้จริงค่ะ" ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและเวชศาสตร์ชะลอวัยให้คำแนะนำ

กินให้อิ่ม..แต่น้อย

เคล็ดลับต่อมาคือ การกินเพื่อสุขภาพ และหน้าตาสดใสอ่อนเยาว์ ซึ่งคุณหมอคนเดียวกันนี้ แนะนำว่า การกินให้อิ่มแต่น้อย เพื่ออยู่อีกนาน บางคนมักเข้าใจผิดว่า รับประทานมาก แต่ออกกำลังกายมากตามไปด้วย จะได้ไม่อ้วนและไม่มีผลเสียต่อสุขภาพ

แต่ในความจริงแล้ว การรับประทานมากเกินความต้องการของร่างกาย แม้จะมีการเผาผลาญพลังงานออกไป แต่อาจก่อให้เกิดของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ ในร่างกายมากเกินจำเป็น โดยตัวอนุมูลอิสระนี้เอง คือตัวการทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของอวัยวะต่าง ๆ และสัมพันธ์กับโรคที่เกี่ยวข้องกับความชรามากมาย ดังนั้น การรับประทานช้า ๆ คอยประเมินสภาพความหนาแน่นของอาหารในกระเพาะเป็นระยะ และหยุดเมื่อรู้สึกอิ่มประมาณ 80 เปอร์เซ็นของท้อง จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีแบบชะลอวัยได้ไม่ยาก

กินแบบ "หมีอะแลสกา"

เทคนิคนี้ คุณหมอผิง ให้ความกระจ่างว่า หมีอะแลสกา เป็นหมีตัวโตที่อาศัยอยู่ในแถวขั้วโลก ซึ่งพบว่า เจ้าหมีตัวนี้เป็นสัตว์กินได้ทั้งพืช และสัตว์ โดยอาหารที่หมีนิยมกินก็คือ ปลาแซลมอน ต้นอ่อนพืชผักต่าง ๆ รวมไปถึงผลเบอรี่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะกินแต่ของที่ดี มีประโยชน์แทบทั้งนั้น ซึ่งสามารถนำมาเชื่อมโยงกับการรับประทานของเราได้เป็นอย่างดี

เริ่มต้นจากปลา พยายามทานปลาให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะปลาแซลมอน เพราะนอกจากจะให้โปรตีนอิ่มสบายพุงแล้ว ยังให้ไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย ซึ่งไปช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี คือ LDL Cholesterol และเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี คือ HDL Cholesterol ได้ ยิ่งไปกว่านั้น กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังมีคุณสมบัติเป็นอาหารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ส่งผลช่วยชะลอความเสื่อมตามวัยของร่างกายอีกด้วย อย่างไรก็ดี นอกจากปลาแซลมอนแล้ว อาจเลือกรับประทานเป็นปลาฮาลิบัต ทูน่า ซาร์ดีน หรือปลาทู สลับกันไปบ้างก็ได้


ขณะเดียวกัน ควรเตือนตัวเองให้รับประทานผลไม้เป็นประจำทุกวัน อย่างหมีอะแลสกามักจะทานผลเบอร์รี่ ซึ่งจัดเป็นผลดีเด่นทางด้านการต้านอนุมูลอิสระ นอกจากเบอร์รี่แล้ว ยังมีพรุน แพร์ แอปเปิ้ล ฝรั่ง ทับทิมรวมอยู่ในกลุ่มผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และมีน้ำตาลไม่มาก ดังนั้นในแต่ละวันควรถือเอาการรับประทานผลไม้ทดแทนขนมหวานไปเลยก็ได้

นอกจากผลไม้แล้ว ผัก และบรรดาต้นอ่อนของพืชผักต่าง ๆ เช่น ถั่วงอก ถั่วงอกหัวโต ต้นอ่อนบรอกโคลี เป็นต้น ก็มีคุณค่าทางโภชนาการไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ควรเลือกหามาดัดแปลงกับเมนูจานโปรดของคุณก็ดูน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

สำหรับบ้านที่ใช้หลักลดอาหารเพื่อสุขภาพด้วยการรับประทานมังสวิรัติ ในส่วนนี้ คุณหมอผิงบอกว่า อาจมีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามิน บี 12 ได้สูงกว่าคนรับประทานอาหารทั่วไป เพราะวิตามินชนิดนี้มีแหล่งที่มาจากเนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อขาดไปแล้ว จะทำให้ร่างกายเกิดอาการอ่อนเพลีย และไม่มีแรง นั่นเพราะขาดวิตามินบี 12 โดยไม่รู้ตัว

"อาหารมังสวิรัติ ทานได้นะ แต่เราต้องหาแหล่งโปรตีนจากพืชทดแทน เช่น เต้าหู้ ถั่วเหลือง ไม่ควรเน้นแป้งเป็นหลัก แต่ต้องมีผัก และโปรตีน ที่สำคัญสำหรับคนทานมังสวิรัติเคร่ง ๆ เรื่องของวิตามินบี 12 ถ้าไม่แน่ใจว่าขาดหรือไม่ แนะนำให้ไปเจาะเลือดตรวจดู เพราะส่วนใหญ่จะขาดวิตามินตัวนี้ หรืออาจหาวิตามินบี 12 ชนิดเม็ดมาทานเสริมทดแทนก็ได้" คุณหมอผิงแนะนำ

เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่สามารถนำไปปฏิบัติด้วยตัวเองที่บ้าน แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมเรื่องการออกกำลังกายด้วย โดยคุณหมอผิง แนะนำว่า ในแต่ละวันควรเดินบ่อย ๆ ไม่ควรนั่งอยู่กับที่ตลอดวัน อย่างน้อยควรเดินให้ครบ 19,000 ก้าวต่อวัน เพราะมีงานวิจัยพบว่า การเดินตามจำนวนก้าวข้างต้น เทียบเท่ากับการออกกำลังกายแบบแอโรบิค 30 นาที หรือถ้าไม่มีเวลาจริง ๆ พยายามเดินขึ้นบันได หรือจอดรถไกล ๆ เพื่อที่จะได้ออกกำลังขาและย่อยอาหารไปในตัวด้วย

ที่สำคัญไปกว่านั้น อย่าลืมดูแลเรื่องสภาวะจิตใจของตัวเราเองด้วย เริ่มจากพยายามนอนให้ถึง 8 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการออกงานปาร์ตี้และการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ถี่เกินไป เหล่านี้เป็นตัวก่ออนุมูลอิสระ ทำให้แก่เร็ว นอกจากนี้ พยายามอย่าให้เครียดบ่อย ๆ เพราะความเครียดทำให้คอลลาเจนถูกทำลาย ส่งผลให้เกิดริ้วรอย และผมหงอกด้วย วิธีลดความเครียดง่าย ๆ คือ การนั่งสมาธิให้ได้ประมาณ 15-30 นาทีเป็นอย่างต่ำทุกวัน

ลองนำไปปฏิบัติใช้กันดูนะครับ


ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000117352

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

เทรนด์โลกอนาคต “อาหาร” และ “ยา” แยกกันไม่ออก

ชี้เทรนด์โลกอนาคต “อาหาร” และ “ยา” แยกกันไม่ออก

ชี้เทรนด์โลกอนาคตอีกแค่ 5 ปีข้างหน้า “อาหาร” และ “ยา” จะเป็นสิ่งแยกกันแทบไม่ออก เพราะอาหารจะไม่มีไว้เพื่อให้กินอิ่มและอร่อยเท่านั้น แต่จะตอบสนองผู้บริโภคคามแนวคิด “ป้องกันดีกว่ารักษา” พร้อมชี้คนเรามักไม่รู้ตัวว่าขาดสารอาหารในกลุ่มเกลือแร่และวิตามิน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว จึงจำเป็นต้องการกิน “อาหารเสริม”

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) มีกำหนดจัดงานประชุมสัมมนาและนิทรรศการนานาชาติด้านอาหารในโลกอนาคต (InnovAsia 2001: Food in the Future: FIF2011) ระหว่างวันที่ 15-17 ก.ย.54 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจนวัตกรรมอาหารจากทั่วโลก ทั้งในทวีปยุโรปและเอเชียรวม 25 คน มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ภายในงาน พร้อมทั้งเผยมุมมองการพัฒนานวัตกรรมอาหารของโลกในศตวรรษที่ 21 อาทิ ตัวแทนจากศูนย์วิจัยอาหารไนโซ่ ประเทศเนเธอร์แลนด์, ตัวแทนจาก บริษัท เซเรบอส แห่งเอเชีย แปซิฟิก และตัวแทนจากบริษัท มารูเซน ฟาร์มาซูติคอล ญี่ปุ่น เป็นต้น

นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการ สนช. เผยถึงการจัดงานดังกล่าวแก่ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์และสื่อมวลชนว่า งานนิทรรศการอาหารในโลหอนาคตนี้จัดขึ้นทุกๆ 2 ปี โดยจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2552 และจะพยายามผลักดันให้งานดังกล่าวเป็นงานระดับนานาชาติ ซึ่งผู้เข้าชมงานน่าจะได้เห็นแนวโน้มของธุรกิจอาหารในอีก 5 ปีข้างหน้า ที่มีแนวโน้มว่าต่อไปในอนาคตนั้นอาหารและยานั้นแทบจะแยกจากกันไม่ออก

“ภายในงานจะได้เห็นนวัตกรรมอาหาร 4 กลุ่ม คือ กลุ่มอาหารเพื่อการควบคุมน้ำหนัก กลุ่มอาหารเพื่อการบำรุงสมอง ซึ่งตอนนี้กำลังมั่วๆ อยู่ เพราะมีเครื่องดื่มที่อ้างว่าดื่มแล้วฉลาด ดื่มแล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ซึ่งถ้าเราจะทำเรื่องนี้คงต้องมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ อีกกลุ่มคือกลุ่มอาหารต้านชรา ชะลอความแก่ และสุดท้ายคือกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน จะเป็นอาหารที่ช่วยเสริมเฉพาะด้าน ซ่อมแซมเฉพาะที่ เช่น บำรุงข้อ บำรุงสายตา เป็นต้น” ผู้อำนวยการ สนช. กล่าว

ทางด้าน ภก.ดร.พิสุทธ์ เลิศวิไล นายกสมาคมผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพและกรรมการสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย (FoSTAT) กล่าวในทำนองเดียวกับนายศุภชัยว่า ในอนาคตอาหารและยาจะเป็นสิ่งที่มาบรรจบกันและแยกจากกันไม่ออก เหมือนที่ปราชญ์ในอดีตเคยกล่าวไว้ว่า “จงอาหารเป็นยาและใช้ยาเป็นอาหาร” ซึ่งเห็นได้จากภูมิปัญญาจีนที่อาหารหลายอย่างใช้ประโยชน์ในทางยาด้วย ซึ่งแนวคิดแบบ “ป้องกันไว้ดีกว่าแก้” นั้นเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการอยู่แล้ว

ด้านภาพรวมของนวัตกรรมอาหารทั่วโลกนั้น ภก.ดร.พิสุทธ์กล่าวว่า ญี่ปุ่นมีตลาดอาหารสุขภาพที่ใหญ่มาก เพราะมีกฎหมายเฉพาะ ซึ่งสินค้าจะได้รับการรับรองต่อเมื่อผ่านการทดลองในมนุษย์แล้วปลอดภัยเท่านั้น ส่วนสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศเสรีนั้นสามารถอ้างสรรพคุณของอาหารได้อย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากผู้บริโภคอเมริกันนั้นฉลาดและแข็งแกร่งมาก หากสินค้าไม่ดีบริษัทจะถูกฟ้องจนล้มละลายได้ และในการกล่าวอ้างสรรพคุณเพื่อขอการรับรองจากหน่วยที่ควบคุมด้านอาหารและยานั้นต้องมีเอกสารที่พิสูจน์คุณสมบัติอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เสนอแก่หน่วยงานอย่างเพียงพอ ไม่ใช่ส่งเอกสารเพียง 2-3 แผ่นเพื่อขอการรับรอง

นายศุภชัยบอกด้วยว่า อาหารนั้นถือเป็นจุดเด่นของประเทศไทย ซึ่งต้องยอมรับว่าฐานของประเทศนั้นเป็นเกษตรกรรม หากจะขายสินค้าด้านซอฟท์แวร์หรืออิเล็กทรอนิกส์นั้นเราได้ค่าส่วนเหลื่อมการตลาด (Marketing margin) เพียงเล็กน้อย แม้มูลค่าที่ขายได้จะสูง แต่เมื่อหักลบต้นทุนแล้วเหลือส่วนต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงจำเป็นต้องหันกลับมามองจุดแข็งของประเทศ โดยแนวทางในการพัฒนานวัตกรรมอาหารจะเน้นไปที่การขายของเป็นกรัม ขายสารสกัด ซึ่งดีกว่าการขายข้าวเป็นเกวียนแล้วได้เงินแค่หมื่นกว่าบาท

“เราไม่อยากขายข้าวเป็นเกวียน ซึ่งถ้าเอาวิทยาศาสตร์เข้าไปจับเราจะเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรได้มหาศาล จากขายเป็นเกวียนก็เปลี่ยนมาขายเป็นกรัม อย่างน้ำมันรำข้าวมีต้นทุนเป็นบาทแต่ขายได้เป็นร้อย ซึ่งธุรกิจสารสกัดเป็นธุรกิจที่ สนช.ให้ความสำคัญมาก แต่ต้องสกัดให้ได้สารบริสุทธิ์ จริง” นายศุภชัยกล่าว และให้นิยามอาหารของโลกอนาคตว่า ไม่ใช่แค่อิ่มอร่อย แต่ต้องให้ผลดีในด้านสุขภาพ และต้องช่วยปรับสมดุลในร่างกายด้วย

ตัวอย่างผลงานเด่นที่จะนำเสนอภายในงาน อาทิ เครื่องดื่มผสมสารสกัดเซราไมด์ที่ได้จากสับปะรด ซึ่งมีประโยชน์ในด้านความงาม โดยช่วยให้เซลล์ผิวกระจ่างใสและได้รับความชุ่มชื้น นวัตกรรมอาหารเสริมจากญี่ปุ่น “คิวเอช” (QH) ซึ่งเป็นอีกรูปของโคเอนไซม์คิวเท็น (Q10) แต่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีกว่า โยเกิร์ตผสมสารสกัดช่วยให้แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของฟันผุตาย และสารให้รส “อูมามิ” หรือรสกลมกล่อมจากหอมหัวใหญ่ ซึ่งใช้แทนผงชูรสและเป็นวัสดุปรุงอาหารสำหรับผู้แพ้ผงชูรส เป็นต้น

อย่างไรก็ดี นวัตกรรมอาหารภายในงานนั้นเน้นที่อาหารเสริม ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ จึงสอบถามว่าการรับประทานอาหารเสริมนั้นมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ซึ่ง ภก.ดร.พิสุทธ์กล่าวว่า โดยปกติแล้วเรามักไม่ขาดสารอาหารในหมู่หลักๆ คือ โปรตีน ไขมันและคาร์โบไฮเดรต แต่มักจะขาดอาหารหมู่ย่อยคือเกลือแร่และวิตามิน ซึ่งในระยัสั้นอาจไม่ส่งผลอะไรมากนัก แต่ในระยะยาวจะมีผลกระทบอย่างแน่นอน ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีผู้สุงอายุหลายคนเป็นโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกผุ อันเกิดจากการขาดสารอาหารกลุ่มเกลือแร่และวิตามินที่จำเป็น ซึ่งเสื่อมสลายได้ง่ายจากการปรุงและการเก็บอาหารไว้นานๆ

“ถ้าร่างกายปกติ กินอาหารครบและออกกำลังกายเป็นประจำก็ไม่ต้องกินอาหารเสริมก็ได้ แต่คนเราจะมีช่วงที่ร่างกายแข็งแรงสูงสุดถึงอายุ 30 ปี หลังจากนั้นร่างกายจะเริ่มเสื่อมถอย สิ่งที่ควรทำคือควรดูแลให้การเสื่อมถอยช้าลง เริ่มจากการดูแลกินอาหารให้ครบ ออกกำลังกาย กินอาหารเสริมและดูแลสุขภาพจิต สำหรับการเลือกอาหารเสริมนั้นต้องดูความต้องการของแต่ละคน ซึ่งมีไม่เท่ากัน คนที่ต้องเดินถนน เจอมลพิษควรจะได้รับสารอาหารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี ซึ่งเป็นอาหารเสริมพื้นฐานและมีราคาถูก และง่ายที่สุดสำหรับทุกคนคือกินวิตามินและเกลือแร่รวม” ภก.ดร.พิสุทธ์กล่าว


ที่มา
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000116498