วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

25 เคล็ดวิธีอายุยืน สุขภาพดีไปอีกน้านน...นาน


25 เคล็ดวิธีอายุยืน สุขภาพดีไปอีกน้านน...นาน

          หลังจากง่วนสืบค้นเนื้อหาสาระที่มีประโยชน์มาให้คุณผู้อ่านอยู่นานสองนาน ก็ไปพบกับข้อมูลที่น่าตกใจเรื่องหนึ่งว่าด้วยเรื่องของอายุขัยสูงสุดของมนุษย์ จากงานวิจัยกว่า 500 ชิ้น เหล่าผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นพ้องกันว่า อายุขัยที่ถูกต้องของมนุษย์ควรอยู่ 120 ปีหรือมากกว่านั้น! แต่เมื่อดูจากรูปการณ์ในปัจจุบันแล้ว แนวโน้มอายุขัยของมนุษย์เรามีแต่จะสั้นลงทุกที แล้วเราจะทำยังไงให้มีอายุยืนยาว ไม่ต้องถึงร้อยสองร้อยปีหรอก แค่ยืดไปได้อีก 10 ไปก็ถือว่ายอดแล้ว

          ว่าแล้วเรามาลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้กันดู แม้จะไม่มีวันรู้ได้ว่าอายุขัยของเราจะยืนยาวขึ้นอีกกี่ปี แต่อย่างน้อย ๆ สิ่งที่เห็นผลทันตาก็คือสุขภาพดีที่ตามมาแน่นอน

 1. ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
          คนที่ออกกำลังอยู่เสมอมีโอกาสที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ออกกำลัง นอกจากนี้ ในงานศึกษาชิ้นหนึ่งยังพบว่า คนที่ออกกำลังน้อยกว่าปกติมีโอกาสที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรสูงกว่ากลุ่มคนที่ออกกำลังเป็นประจำถึง 3 เท่า

 2. หัวเราะเข้าไว้
          การหัวเราะเป็นยาวิเศษที่ช่วยลดฮอร์โมนความเครียด และเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ การหัวเราะยังเป็นเหมือนการออกกำลังย่อม ๆ ว่ากันว่าหากหัวเราะ 100-200 ครั้งจะเท่ากับการวิ่ง หรือพายเรือ 10 นาทีเลยทีเดียว

3. เข้านอนช้าลง
          อ๊ะ! ฟังให้ดีก่อน จริงอยู่ว่าการนอนน้อยอาจส่งผลเสียต่อร่างกายหลาย ๆ อย่าง แต่มีงานศึกษาทางด้านจิตเวชชิ้นหนึ่งเผยว่า ระยะเวลาในการนอนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับมนุษย์คือ 6-7 ชั่วโมงต่อวัน การนอนมากกว่า 8 ชั่วโมง หรือน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวันอาจส่งผลให้อัตราการตายเพิ่มสูงขึ้นได้

4. ขยันมีกิจกรรมบนเตียง
          คู่รักที่มีกิจกรรมบนเตียงร่วมกันจะดูเด็กกว่าคู่ที่ไม่ได้ทำการบ้านด้วยกันได้ถึง 7 ปี เพราะเซ็กส์จะช่วยคลายความเครียด ทำให้เรามีความสุข และนอนหลับได้สนิทยิ่งขึ้น

5. ดื่มน้ำเยอะ ๆ
          เพราะร่างกายมีน้ำอยู่ถึง 55-75 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ดังนั้น อาการกระหายน้ำจึงเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายเริ่มเข้าสู่ภาวะขาดน้ำ การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยในเรื่องระบบการย่อย การดูดซึมสารอาหาร ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นช่วยขับสารพิษ และดีต่อสุขภาพโดยรวม

6. กินกระเทียม
          กระเทียมได้ชื่อว่าเป็นยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติ มีประโยชน์ในการขับพิษ บำรุงสุขภาพหัวใจและการไหลเวียนของเลือด นอกจากนี้ยังช่วยต่อสู้กับอาการติดเชื้อและเสริมภูมิต้านทาน อีกทั้งยังมีหลักฐานบ่งชี้ว่า กระเทียมช่วยป้องกันมะเร็งในระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย สำหรับผู้ที่ไม่ชอบกระเทียมแนะนำให้กินในรูปของอาหารเสริมที่ไม่มีกลิ่น

7.หม่ำช็อกโกแลต
          สารต้านอนุมูลอิสระและฟลาโวนอยด์ในช็อกโกแลตจะช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจ และลดความเสื่อมของเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกาย แต่แนะนำให้เป็นดาร์กช็อกโกแลตจะดีกว่า เพราะนอกจากปริมาณแคลอรี่ที่น้อยกว่าแล้ว ดาร์กช็อกโกแลตยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มากกว่าช็อกโกแลตนมถึง 2 เท่า

8. เลี่ยงอาหารที่มีกระบวนการเก็บรักษาที่ไม่ดี
          โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อของโบท็อกซ์ เป็นหนึ่งในสารพิษที่ร้ายแรงที่สุดจากธรรมชาติ สารชนิดนี้เกิดจากอาหารที่เก็บรักษาไม่ดีจนก่อให้เกิดแบคทีเรียชนิดหนึ่ง พบได้ในไส้กรอก เนื้อเค็ม หรือเนื้อรมควัน และน้ำผึ้งที่มีการเก็บรักษาไม่ดี นอกจากนี้ การตายจากสารโบท็อกซ์ยังอาจเกิดขึ้นได้กับผู้ที่นำไปให้เพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านความงามด้วย

9. กินผักผลไม้เยอะ ๆ
          ผักผลไม้จะช่วยยับยั้งการเกิดโรคหัวใจ เส้นเลือดอุดตัน และมะเร็งบางชนิด สารอาหารในผักและผลไม้ช่วยควบคุมความดันเลือดและปริมาณคอเลสเตอรอลได้ อีกทั้งกากใยของอาหารเหล่านี้ยังส่งผลดีต่อระบบขับถ่ายด้วย

10. รักษาแผลให้สะอาด
          สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ แบคทีเรียเป็นสาเหตุของการตายที่จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ แม้แต่รอยขีดข่วนเพียงเล็กน้อยก็อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ ดังนั้นอย่ามองข้ามแผลแค่แมวข่วน หรือกระดาษบาดเสียล่ะ

11. จิบชา
          จะชาเขียวหรือชาดำก็มีสารต้านอนุมูลอิสระและประโยชน์เท่ากัน นักวิจัยแนะว่าการดื่มชาดำหนึ่งแก้วต่อวันช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตจากอาการหัวใจวายในผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้วได้ถึง 28 เปอร์เซ็นต์

12. ดื่มไวน์แดง
          งานศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่า การดื่มไวน์แดงหนึ่งแก้วต่อวันจะช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจ และช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและความดันเลือดได้ด้วย เป็นข้ออ้างสำหรับการดื่มที่ฟังดูดีใช่มั้ยล่ะ

13. ล้างมือบ่อย ๆ
          ท้องร่วงเป็นหนึ่งในสาเหตุการตายที่พบได้มากในแต่ละปี ดังนั้น ยามใดที่ออกไปนอกบ้านก็อย่าลืมล้างมือเสียล่ะ หากไม่สะดวก เจลล้างมือ หรือทิชชูเปียกช่วยคุณได้

14. ตรวจเช็กร่างกายอยู่เสมอ
          สำหรับคุณสาว ๆ หมายถึงการตรวจเช็กหน้าอกของตัวเองอยู่เป็นประจำ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านมในระยะที่ยากเกินจะรับมือ และบรรดาคุณผู้ชายควรสำรวจน้องชายของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อเตรียมรับมือกับมะเร็งอัณฑะที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจสุขภาพประจำปีควบคู่ไปด้วย

15. ระวังเรื่องน้ำหนัก
          กินมากเกินไปคือหนึ่งในสาเหตุของความชรา และยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และมะเร็งที่สำไส้ใหญ่ ถุงน้ำดี รังไข่ และเต้านมได้ด้วย ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งเผยว่า ในแต่ละปีมีอัตราการเกิดอาการหัวใจวายอันเนื่องมาจากโรคหัวใจ และหลอดเลือดถึงปีละ 270,000 ราย และ 280,000 ราย จากจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดมีสาเหตุมาจากความอ้วน

16. ไม่สูบบุหรี่
          ทุกคนรู้ดีถึงโทษของบุหรี่ บุหรี่หนึ่งมวนอาจหมายถึงอายุขัยที่สั้นลง 6 นาที ดังนั้น ยิ่งเลิกสูบได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของคุณเท่านั้น แต่ยังเป็นการยืดอายุคนที่อยู่รอบตัวคุณด้วย

17. รู้จักผ่อนคลาย
          การผ่อนคลายช่วยลดความดันเลือด และลดความเครียดที่อาจเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า ทั้งนี้ เทคนิคการผ่อนคลายอย่างการเล่นโยคะ และการทำสมาธิสามารถช่วยคุณได้

18. หลีกเลี่ยงแสงแดด
          การเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดดที่มากเกินไป จะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง และยังช่วยปกป้องผิวของคุณจากฝ้า กระ จุดด่างดำ และริ้วรอยต่าง ๆ ที่เป็นตัวบ่งบอกถึงความร่วงโรย ดังนั้น ก่อนออกจากบ้าน อย่าลืมใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปทุกครั้ง

19. หนีไปอยู่ต่างจังหวัด
คนที่อาศัยอยู่ในแถบชนบทจะมีช่วงอายุขัยที่ยาวนานกว่าคนในเมือง และจากงานศึกษาหลายชิ้นพบว่า คนเมืองที่อาศัยอยู่ใกล้พื้นที่สีเขียวแบบเปิดโล่ง มีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนกว่าคนที่อาศัยอยู่ในย่านที่ถูกรายล้อมด้วยป่าคอนกรีต

20. สังสรรค์กับเพื่อน แต่งงาน หรือเลี้ยงสัตว์
          อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่แหล่งข่าวที่เชื่อได้หลายแหล่งบอกตรงกันว่า สัมพันธภาพเหล่านี้สามารถช่วยป้องกันความดันโลหิตสูงที่อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเส้นเลือดอุดตันและหัวใจวายได้ ชีวิตแต่งงานจะช่วยยืดอายุขัยของผู้ชายไปอีก 7 ปี และ 3 ปีสำหรับผู้หญิง ส่วนสัตว์เลี้ยงโปรดจะช่วยให้คุณคลายเครียด ช่วยลดความดันโลหิต และยังช่วยให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะหัวใจวายมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นด้วย

21. มองโลกในแง่ดี
          ผลการวิจัยพบว่าคนที่คิดบวกจะมีอายุยืนกว่า เนื่องจากการมองโลกในแง่ดีจะช่วยลดโอกาสในการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับคนที่มักมองโลกในแง่ร้าย

22. ปิดทีวี
          การใช้เวลาที่หน้าจอสี่เหลี่ยมมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ จากงานศึกษาเมื่อปี 2010 เผยว่า กลุ่มคนที่ดูทีวีมากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน มีโอกาสเสียชีวิตด้วยสาเหตุต่าง ๆ ได้มากกว่ากลุ่มที่ดูทีวีน้อยกว่า 2 ชั่วโมงต่อวันถึง 46 เปอร์เซ็นต์

23. ทำกิจกรรมสันทนาการเมื่อแก่ตัวลง
          การทำสวน หรือช้อปปิ้งจะส่งผลดีต่อคุณในแง่ของการออกกำลัง นักวิจัยหลายคนบอกเอาไว้ว่า กุญแจสำคัญของความสุขก็คือการทำอะไรก็ได้ที่ชอบและรู้สึกดีกับตัวเอง

24. ไม่หอบงานกลับไปทำที่บ้าน
          เพราะนั่นหมายถึงคุณไม่สามารถจัดการกับภาระหน้าที่ที่มีอยู่ได้ และอาจทำให้เกิดความเครียดในที่สุด คนที่เครียดจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 20 เท่า และความเครียดยังไปบั่นทอนระบบภูมิคุ้มกันและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายอันเป็นสาเหตุของโรคและริ้วรอยต่าง ๆ อีกด้วย

25. เลือกหมอที่วางใจได้
          ว่ากันว่าผู้ป่วย 1 ใน 10 มักจะได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง แม้ว่าคนไข้ส่วนใหญ่จะไม่ตาย แต่หากถูกหามไปส่งโรงพยาบาลคุณก็มีโอกาสเป็น 1 ใน 100 ที่อาจถูกกระตุ้นให้เสียชีวิตเร็วขึ้น และการกระตุ้นเหล่านั้นมักเกิดจากอุบัติเหตุมากกว่าเจตนา

ที่มา
http://health.kapook.com/view51365.html

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

15 พฤติกรรมทำง่ายแต่โรคหัวใจอาจถามหา


15 พฤติกรรมทำง่ายแต่โรคหัวใจอาจถามหา

ในการใช้ชีวิตทุกวันนี้ อาจเป็นชีวิตที่แสนสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมายรอบตัว แต่มนุษย์เราก็ยังคงมีโรคร้ายต่าง ๆ รุมเร้า ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ โรคหัวใจ ที่คนไทย และทั่วโลกป่วยกันมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก วันนี้เราจึงมีบทความดี ๆ เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ที่น่าเป็นห่วงต่อการเกิดโรคหัวใจมาฝากกัน ดังนี้ค่ะ
      
1. ไม่รักษาสุขภาพช่องปาก
      
       เคยมีคำกล่าวเกี่ยวกับสุขภาพปากและสุขภาพหัวใจเอาไว้ว่า สองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกัน หากสุขภาพช่องปากไม่ค่อยโสภา มีกลิ่นเหม็น หรือมีเศษอาหารหมักหมมตามซอกต่าง ๆ ก็เป็นไปได้ว่า สุขภาพหัวใจอาจต้องการหมอด้วยก็เป็นได้ ทั้งนี้เพราะในเวลาที่มีการอักเสบภายในเยื่อบุช่องปาก เชื้อโรคต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะทะลุทะลวงเข้าไปในร่างกายได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
      
2. นอนหลับไม่เพียงพอ
      
       ปัจจุบันคนที่มีโอกาสนอนหลับอย่างเพียงพอมีจำนวนน้อยลง จากเหตุผลต่าง ๆ เช่น ทำงานดึก หรือติดใจกับชีวิตในเวลากลางคืนมากเกินไปหน่อย ซึ่งการพักผ่อนไม่เพียงพอนี้ เป็นการทำร้ายอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจไปด้วย โดยคนที่นอนหลับไม่เพียงพอนั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หรือหัวใจวายได้ ดังนั้น หากทำได้ควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้ 8 ชั่วโมงต่อวัน
      
3. ไม่เคยลาพักร้อน
      
       การทำงานหนักติดต่อกันอาจให้ผลดีในแง่ความก้าวหน้า แต่สำหรับสุขภาพแล้ว การลาพักร้อนกลับช่วยได้มากกว่า เพราะการลาพักร้อนช่วยให้เราได้คลายเครียด และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ การศึกษาจาก the Wisconsin Women’s Health Study ที่พบว่า ผู้ที่มีโอกาสลาพักร้อนนั้นจะยิ่งห่างไกลจากความเครียด อาการซึมเศร้า เหนื่อยง่าย แถมยังมีความสุขในชีวิตแต่งงานมากขึ้นด้วย
      
4. ไม่รับประทานผักผลไม้
      
       ผักและผลไม้ล้วนมีสารต้านอนุมูลอิสระ แถมด้วยไฟเบอร์ วิตามิน ที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากนั้น ผักผลไม้ยังมีโปแตสเซียมสูง ซึ่งสามารถช่วยควบคุมความดันโลหิตได้ ยกตัวอย่างเช่น ผลไม้รสเปรี้ยว กล้วย มะเขือเทศ มัน ถั่ว แอปเปิ้ล แตงกวา กะหล่ำปลี จากการศึกษาพบว่า สามารถช่วยลดการเกิดหัวใจวายได้สูงถึง 52 เปอร์เซ็นต์
      
5. ไม่ได้รับแสงแดดเพียงพอ
      
       คุณอาจเกรงว่าการออกไปรับแสงอาทิตย์มาก ๆ นั้นเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งผิวหนัง อีกทั้งการที่ตากแดดจนตัวดำก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนักในประเทศไทย แต่ไม่ว่าอย่างไร แสงแดดก็มีประโยชน์ต่อร่างกาย และควรเลือกรับแสงแดดในเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังพบว่าแสงแดดมีผลดีต่อจิตใจด้วยเช่นกัน เพราะช่วยให้จิตใจแจ่มใส ปลอดโปร่งมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีอีกหลายงานวิจัยที่พบว่า การได้รับวิตามินดีต่ำนั้นมีผลต่อความดันโลหิตด้วย แต่รับแสงแดดแค่ไหนถึงพอดี ถ้าเป็นช่วงเดือนที่ค่อนข้างร้อนนั้น อาจจะ 5 - 30 นาทีในช่วงที่แดดไม่แรงมาก อาจให้ร่างกายบางส่วนเช่น หน้า แขน ขา หรือหลัง ได้สัมผัสแสงแดดก็เพียงพอ
      
6. ใช้บริการร้านประเภท Drive-through บ่อย ๆ
      
       ลองเปลี่ยนเป็นจอดรถแล้วเดินลงไปซื้อของที่ต้องการ แทนการใช้บริการแบบ Drive-through ก็สามารถช่วยได้ บางคนอาจคิดว่า ต้องประหยัดเวลาตรงนี้ไว้ เพื่อจะได้รีบไปฟิตเนสออกกำลังกาย แต่จริง ๆ ถ้าในหนึ่งวันได้มีโอกาสเดินมาก ๆ ก็อาจทดแทนการไปเล่นฟิตเนสได้เช่นกัน ลองเริ่มจากการลดใช้บริการประเภท Drive-through ดูก่อนก็ยังได้
      
7. ไม่ยอมไปตรวจร่างกาย
      
       หากคุณดูสุขภาพดีและไม่ปรากฏสัญญาณใด ๆ ของโรคหัวใจเลย ทำให้คุณชะล่าใจและเมินการตรวจสุขภาพร่างกายประจำปี นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะโรคหัวใจสามารถคร่าชีวิตคุณได้โดยง่าย หลายคนไม่แสดงอาการของโรคมาก่อนเลยด้วย สมาคมโรคหัวใจอเมริกาแนะนำว่า ในกลุ่มผู้มีสุขภาพปกติควรจะเริ่มตรวจเช็คหัวใจตั้งแต่อายุ 20 ปีเป็นต้นไป ส่วนการตรวจวัดความดันโลหิตควรเช็คทุก 6 เดือน น้ำตาลในเลือดควรเช็คทุก ๆ 3 ปี
      
8. เลือกของว่างผิดประเภท
      
       ขนมถุง ๆ มันฝรั่งทอด หรือขนมปังกรอบ เป็นขนมที่มีเกลือและน้ำตาลแฝงอยู่ในปริมาณมาก และช่วยเพิ่มความดันโลหิตของเราได้ รวมถึงค่าไตรกลีเซอไรด์ด้วย นอกจากนั้น ความที่มันมีแต่คาร์โบไฮเดรต คุณจึงมักจะรู้สึกหิวได้ง่ายในเวลาไม่นาน และทำให้คุณต้องรับประทานอาหารมากขึ้น
      
9. เมินถั่ว
       ถั่วเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีอีกแหล่งหนึ่ง และหากรับประทานให้ถูกวิธีก็ไม่ต้องกังวลกับไขมันอิ่มตัว แถมยังมีไฟเบอร์ที่ดีต่อร่างกาย และช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้ด้วย แต่สำหรับประเทศไทย อาจต้องพิจารณาเลือกแหล่งที่มาของถั่วให้สะอาด และปลอดจากเชื้อราด้วย
      
10. ใช้เครื่องปรุงรสเยอะ
      
       การบริโภคสารปรุงรสจำนวนมากอาจทำให้ร่างกายคุณได้รับเกลือมากเกินไป ซึ่งสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกาเผยว่า ไม่ควรให้ร่างกายได้รับเกลือมากกว่า 1500 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะนั่นจะทำให้คุณเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจมากขึ้น
      
11. ดื่มน้ำอัดลม
      
       น้ำอัดลม เครื่องดื่มประเภทบำรุงร่างกาย เหล่านี้เป็นตัวเพิ่มน้ำตาลให้กับร่างกาย สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกาแนะนำว่าผู้หญิงไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน ผู้ชายไม่ควรเกิน 8 ช้อนชาต่อวัน แต่ในน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มรสหวานเหล่านั้น บางขวดมีน้ำตาลเกิน 8 ช้อนชาด้วยซ้ำ
      
12. ไม่มีเวลาให้ครอบครัว
      
       การมีงานทำจนยุ่งไปหมดอาจเป็นสิ่งที่ดีสำหรับบางคน แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องยุ่งอยู่แต่กับงานตลอดสัปดาห์ การได้กลับมาพบหน้าครอบครัว พบหน้าคนที่รักช่วยยืดอายุให้กับหัวใจได้ อย่าปล่อยให้ตนเองรู้สึกโดดเดี่ยว มีงานเป็นเพื่อนเด็ดขาด เพราะมีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์กพบว่า ผู้ที่บอกกับตัวเองว่าตัวเองเหงา โดดเดี่ยวนั้น มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ และโดยมากผู้ที่บอกตัวเองเช่นนี้มักจะเป็นผู้หญิงด้วย
      
       ความรู้สึกเหงานั้นนอกจากจะทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่แล้ว ยังหมายถึงการไม่มีกิจกรรมทำ ต้องนั่งเฉย ๆ ซึ่งในผู้หญิงนั้น ความเหงาอาจนำไปสู่ปัญหาน้ำหนักเกิน โรคเครียด และนอนไม่หลับ ขณะที่คนที่มีสังคม มีเพื่อนฝูงให้ปรึกษานั้นพบว่ามีปัญหาเหล่านี้น้อยกว่า
      
13. ครอบครัวมีประวัติโรคหัวใจ
      
       การจะทราบว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจมากน้อยแค่ไหน บางทีอาจต้องพิจารณาจากประวัติของบุคคลในครอบครัวร่วมด้วย และไม่เฉพาะพ่อแม่ หากพี่หรือน้องของคุณมีสัญญาณของอาการดังกล่าว คุณเองก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็น นอกจากนั้น ญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดอย่างปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอา ก็เช่นกัน หากพวกเขาเสียชีวิตจากโรคดังกล่าว ให้พิจารณาถึงไลฟ์สไตล์ของคนเหล่านี้ร่วมด้วย
      
14. พยายามทำสิ่งต่าง ๆ ในเวลาเดียวกัน
      
       โดยเฉพาะคุณแม่บ้านซึ่งบางทีมีงานล้นมือเกินกว่าจะจัดการให้เสร็จทันในเวลาที่มีอยู่ พวกเธอจึงพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่างพร้อม ๆ กัน และหลายคนก็สามารถทำได้ดี แต่นั่นอาจหมายถึงการทำงาน "มาก" เกินไป และทำให้เกิดความเครียดได้มาก ซึ่งส่งผลต่อหัวใจของเราในที่สุด
      
15. ไม่บอกใครว่าต้องการความช่วยเหลือ
      
       หากคุณกำลังมีปัญหาสุขภาพ และต้องการลด ละ เลิกพฤติกรรมบางอย่างเพื่อให้สุขภาพดีขึ้น เช่น เลิกดื่มเหล้า เลิกสูบบุหรี่ เลิกรับประทานขนมหวาน การหักดิบด้วยตัวเองแบบเงียบ ๆ อาจไม่เป็นผลดีสักเท่าไร เพราะวันใดที่จิตใจคุณอ่อนแอ คุณอาจหันไปหาสิ่งเหล่านั้นได้โดยง่าย ทางที่ดีกว่าคือการบอกกับคนรอบข้าง หรือคนในครอบครัวให้พวกเขารับทราบด้วย ว่าคุณกำลังจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อที่เขาเหล่านั้นจะได้ช่วยสนับสนุน ให้กำลังใจ และไม่ซื้อสิ่งที่อาจทำให้คุณตบะแตกมาฝาก
      
       อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก ivillage.com
ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000139887

เลือกวิตามินให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ ช่วยชะลอวัยแถมมีสุขภาพดี

เลือกวิตามินให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ ช่วยชะลอวัยแถมมีสุขภาพดี

เลือกวิตามินให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ ช่วยชะลอวัยแถมมีสุขภาพดี
 ใคร ๆ ก็อยากมีสุขภาพดี ไร้โรคภัย และไม่อยากแก่ก่อนวัย ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่จึงหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น การซื้อหา วิตามิน หรือ อาหารเสริม มารับประทานเอง จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกยอดนิยม ในการช่วยบำรุงสุขภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ร่างกายของคนเรามีความแตกต่างกัน ความต้องการ วิตามิน ของแต่ละบุคคลจึงไม่เหมือนกัน รวมทั้งปริมาณที่ร่างกายต้องการด้วย
      
       เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.อรรถสิทธิ์ อมรถนอมโชค แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลเวชธานี ได้กล่าวถึงเทรนด์การกินวิตามินในปัจจุบันไว้อย่างน่าสนใจ ว่า ปัญหาการรับประทานวิตามินของคนไทย ที่ชอบกินตามความนิยม ใครบอกว่าตัวไหนดี ก็นิยมซื้อตามกัน หรือการกินวิตามินรวมหลายชนิด โดยคิดว่าเพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ เป็นความเชื่อที่ผิดๆ เพราะร่างกายเราอาจไม่ได้มีความจำเป็นที่ต้องได้รับวิตามินชนิดนั้นๆเลยก็ได้ แทนที่ร่างกายจะได้คุณประโยชน์ กลับกลายเป็นให้โทษ ทำให้ผู้บริโภคเสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย
      
       "ปกติแล้วร่างกายคนเราต้องการการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละวันอยู่แล้ว ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุ ถือเป็นหนึ่งในสารอาหารที่ร่างกายต้องการ หากเปรียบร่างกายเหมือนเครื่องจักรยนต์แล้ว สารอาหารอย่าง คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เปรียบได้กับเชื้อเพลิง ในขณะที่ วิตามิน และ เกลือแร่ ก็เปรียบได้กับสารหล่อลื่น ซึ่งจะช่วยนำพาเซลล์ในร่างกายของเราให้ทำงานได้ประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น"
      
       แต่ด้วยวิถีการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงของคนในสมัยใหม่ ภาวะโภชนาการที่ผิด ๆ การขาดการออกกำลังกาย รวมทั้งความเครียดสะสมจากการทำงาน หรือ ปัญหาต่างๆที่ต้องเผชิญ ทำให้การรับประทานอาหารให้ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่เป็นไปได้น้อยมาก การเลือกรับประทาน วิตามิน และ แร่ธาตุ จึงกลายเป็นทางเลือกสำคัญ ให้กับคนรักสุขภาพ ที่อยากจะมีสุขภาพที่ดี ช่วยชะลอวัย และป้องกันโรคภัยร้ายแรงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
      
       ปัจจุบันวิวัฒนาการแพทย์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย ก้าวล้ำไปอีกขั้น เพื่อตอบโจทย์คนรักสุขภาพได้แบบตรงจุด โดยสามารถเลือกรับประทานวิตามินในรูปแบบ "วิตามินปรุงเฉพาะบุคคล" หรือ Customized/Personalized Supplement ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน เพื่อสุขภาพที่ดี ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ป้องกันโรคภัยได้ในอนาคต

       อย่างไรก็ตาม วิธีดังกล่าวจะต้องกระทำโดยผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยเท่านั้น ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้สั่งให้คนไข้หลังจากการวินิจฉัยของแพทย์และผลการตรวจเลือดแล้ว เริ่มจากซักประวัติตรวจร่างกายคนไข้ เพื่อให้รู้ถึงวิถีการดำรงชีวิต ลงลึกถึงปัญหา/ความต้องการในการกินวิตามิน ซึ่งในแต่ละคนต้องการผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน เช่น ในปัจจุบันความนิยมในการกินวิตามินโดยส่วนใหญ่เพราะอยากมีผิวพรรณสดใส ดูอ่อนกว่าวัย ชะลอความทรุดโทรมของร่างกาย และช่วยป้องกันโรคในอนาคต พร้อมทั้งการวินิจฉัยจากห้องปฏิบัติการ ทำการตรวจวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์เทคโนโลยีที่ทันสมัยด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย ด้วย 2 วิธีการ คือ
      
       การตรวจจากเลือด หรือ Live blood cell analysis และ วิธีการ Electro interstitial scan (EIS) ซึ่งสามารถวิเคราะห์ผลได้อย่างละเอียดแม่นยำ ถึงประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย ได้แก่ ภาวะการสะสมของสารพิษ ตะกอนโลหะหนัก ภาวะภูมิแพ้แอบแฝง การสะสมของสารอนุมูลอิสระ ระบบหลอดเลือดและหัวใจ ระบบหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบประสาท ระบบอวัยวะสืบพันธุ์ ระบบฮอร์โมนต่อมไร้ท่อ ภาวะการสะสมของอนุมูลอิสระ และสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น เพื่อเป็นแนวทางพื้นฐานให้แพทย์วินิจฉัยได้ว่า ร่างกายของเรามีโอกาสขาดวิตามินและแร่ธาตุตัวไหนบ้าง ทราบถึงชนิดและปริมาณของวิตามิน/แร่ธาตุที่แพทย์จะจ่ายยาให้ไปอย่างถูกต้องเหมาะสมกับแต่ละบุคคล และเป็นแนวทางการวางแผนสุขภาพเพื่อควบคุมและป้องกันโอกาสอันอาจจะเกิดโรคต่างๆในอนาคตได้
      
       ทั้งนี้ นพ.อรรถสิทธิ์ ยังได้แนะนำเคล็ดลับเพิ่มเติม เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก ว่า ควรเริ่มจากการมี ภาวะโภชนาการที่ดี รับประทานอาหารที่มีคุณค่าประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่, พักผ่อนให้เพียงพอ, ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการเลือกวิตามินที่เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการ หากจะให้ได้ผลดีอย่างที่ต้องการนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะหากบริโภคอย่างผิดวิธี "วิตามิน" ที่คิดว่ามีประโยชน์ อาจกลายเป็นให้โทษกับร่างกายได้เช่นกัน
ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000137930

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กินถั่วเขียว ช่วยลดเสี่ยงโรคหลอดเลือด



ถั่วเขียวแม้จะเม็ดเล็ก แต่คุณภาพก็คับเม็ด เพราะมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย “อัญชลี อุษณาสุวรรณกุล” จากสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้บอกไว้ว่า

ถั่วเขียวมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ แป้ง 62.7% โปรตีน 21.7% ความชื้น 10.2% และไขมัน 1.5% ทำให้พอสรุปได้ว่า ถั่วเขียวไมใช่พืชที่ให้น้ำมันหรือโปรตีนเป็นหลัก แต่ก็จัดว่าให้ปริมาณโปรตีนที่สูงในบรรดาถั่วทั้งหลาย องค์ประกอบที่มีมากที่สุดคือแป้ง

ดังนั้น ในด้านอุตสาหกรรมจึงนำไปทำเป็นแป้งถั่วเขียว ซึ่งแป้งถั่วนี้นำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารหรือใช้ทำขนม เช่น ซ่าหริ่ม ส่วนแป้งสดนำไปใช้ทำวุ้นเส้น มีงานวิจัยพบว่าวุ้นเส้นให้ค่าการตอบสนองต่อน้ำตาลในเลือด (Glycemic index) ต่ำ เมื่อเทียบกับอาหารคาร์โบไฮเดรตอื่นๆ เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และยังมีรายงานว่าแป้ง (Starch) มีผลต่อระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด เพราะคาร์โบไฮเดรตที่บริโภคเข้าไป จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไตรกลีเซอร์ไรด์ในยามที่ร่างกายมีการสะสมของไกลโคเจนเพียงพออยู่แล้ว

นอกจากนี้ ระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด มีความสัมพันธ์กับโรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด และไตรกรีเซอไรด์จะยิ่งมีบทบาทอย่างมากในผู้ที่มีระดับเอชดีแอล (ไขมันคุณภาพดี) ต่ำ

มีการศึกษาพบว่า อาหารที่มีค่าการตอบสนองต่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ นอกจากจะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้เป็นปกติแล้ว ยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานได้อีกด้วย

เมื่อบริโภคถั่วเขียวร่วมกับธัญพืช จะให้กรดอะมิโนที่จำเป็นครบตามความต้องการของร่างกาย โปรตีนจากถั่วเขียวมีราคาถูกเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ และการเลือกรับประทานโปรตีนจากพืชแทนเนื้อสัตว์จะสามารถหลีกเลี่ยงการรับไขมันเกินความจำเป็นได้

นอกจากนี้ ในถั่วเขียวยังให้วิตามินและแร่ธาตุบางชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามินบี 1 ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก ให้แคลเซียมและฟอสฟอรัสซึ่งจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูก และธาตุเหล็กซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดง และยังมีใยอาหาร ซึ่งช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือดและลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่

ถั่วเขียวเป็นอาหารที่จัดอยู่ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ส่งผลดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลและระดับไขมันในเลือด การควบคุมน้ำหนัก และการลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด


แต่อย่างไรก็ตาม การบริโภคถั่วเขียวและผลิตภัณฑ์ ควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะถ้ารับประทานมากเกินไป ก็จะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการใช้ และถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะโภชนาการเกินหรือเป็นโรคอ้วนได้

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 141 กันยายน 2555 โดย ปุยฝ้าย)

เถาวัลย์เปรียง สมุนไพรแก้ปวดข้อ

 
 
“เถาวัลย์เปรียง” มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Derris scandens (Roxb.) Benth.หรือที่รู้จักกันในชื่อท้องถิ่นว่า เครือเขาหนัง เถาตาปลา เครือตาปลา ย่านเหมาะ

พืชชนิดนี้จัดเป็นพรรณไม้เถาเลื้อยขนาดใหญ่ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงเวียน แผ่นใบย่อยรูปไข่ ปลายแหลม โคนมน ขอบเรียบ ช่อดอกยาว ออกตามง่ามใบหรือปลายกิ่ง สีขาวอมชมพูอ่อนหรือม่วงอ่อน ผลเป็นฝักแบนเล็ก เมล็ดรูปไตมีขนาดเล็ก

เถาวัลย์เปรียงเป็นสมุนไพรที่พบทั่วไปทุกภาค สรรพคุณทางยานั้นอยู่ที่เถาหรือลำต้น ซึ่งหมอแผนโบราณนิยมนำมาต้มให้คนไข้รับประทาน เพื่อแก้กระษัย เหน็บชา ทำให้เส้นเอ็นอ่อนลง ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้โรคบิด ไต แก้เส้นเอ็นพิการ แก้อาการปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดเอว บำรุงกำลัง และยังนำไปใช้เป็นส่วนประกอบอายุวัฒนะ เพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรง

เมื่อสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ทำการศึกษาวิจัย “เถาวัลย์เปรียง” ก็พบว่า สารสกัดจากลำต้นของเถาวัลย์เปรียงเป็นสารในกลุ่มไอโซฟลาโวน (Isoflavone) และไอโซฟลาโวน กลัยโคไซด์ (Isoflavone glycoside) ที่มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ โดยเฉพาะอาการอักเสบตามข้อ ช่วยลดอาการปวดในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง สามารถใช้แทนยาแก้อักเสบประเภทสเตียรอยด์ที่เป็นยาแผนปัจจุบัน เพื่อรักษาโรคปวดหลังและปวดตามข้อได้

โดยใช้เวลาทำการทดลองนานเกือบ 10 ปี และได้ผ่านการทดสอบทางคลินิกในคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งระยะที่ 1 และ 2 โดยให้ยาแก่อาสาสมัครครั้งละ 1 แคปซูล (200 มก./ แคปซูล) หลังอาหารวันละ 2 ครั้ง นาน 2 เดือน ร่างกายสามารถดูดซึมยานี้ได้ดี ให้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ ไม่มีความเป็นพิษหรือผลข้างเคียง ทั้งยังช่วยควบคุมและเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วย

นอกจากนี้ ยังได้ทดสอบสรรพคุณในอาสาสมัครโดยร่วมมือกับโรงพยาบาลศิริราช ในการรักษาผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมโดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับยาต้านอักเสบ Naproxen และกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียง พบว่าสารสกัดจากเถาวัลย์เปรียงมีประสิทธิผลในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมได้ดี และมีแนวโน้มว่าปลอดภัยกว่ายา Naproxen เพราะพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับยา Naproxen มีอาการหิวบ่อย แสบท้อง จุกเสียด แน่นท้อง ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงไม่มีอาการข้างเคียงดังกล่าว

ปัจจุบัน ได้มีการผลิตยาสมุนไพรเถาวัลย์เปรียงออกจำหน่ายทั้งในรูปแบบยาน้ำและยาเม็ด

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 143 พฤศจิกายน 2555 โดย เก้า มกรา)

พรมมิ สมุนไพรรักษาความจำเสื่อม


พรมมิ หรือผักมิ (ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Bacopa Monnieri) เป็นพืชสมุนไพรที่ถูกจับตามองในแง่ของการใช้เป็นยาบำรุงสมองและความจำ สรรพคุณของพรมมิตามตำรายาไทยนั้น ใช้เป็นยาขับโลหิต แก้ไข้ ขับพิษร้อน ขับเสมหะ บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ และบำรุงประสาท และในตำราอายุรเวทของอินเดียพบว่า เป็นเวลากว่า 3,000 ปีมาแล้วที่พรมมิถูกนำมาใช้เป็นยาเพื่อช่วยฟื้นฟูความจำ และบำรุงสมอง
      
       การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพรมมิต่อระบบประสาท การกระตุ้นการเรียนรู้ และความจำ พบว่า สารออกฤทธิ์สำคัญที่มีผลต่อระบบประสาทที่พบในต้นพรมมิเป็นสารในกลุ่ม triterpenoid saponin ที่ชื่อว่า bacoside ซึ่งชนิดที่มีรายงานการศึกษามากที่สุดได้แก่ bacoside A และ bacoside B
      
       ในการศึกษาผลของการรับประทานสารสกัดพรมมิต่อการฟื้นฟูความจำ ในอาสาสมัครที่มีภาวะสูญเสียความจำเนื่องจากอายุมาก (อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป) โดยให้อาสาสมัครรับประทานแคปซูลสารสกัดพรมมิขนาดวันละ 300-450 มก. (ประกอบด้วยสารสกัด bacosides อย่างน้อย 40%) พบว่า อาสาสมัครมีทักษะในการเรียนรู้เกี่ยวกับการทดสอบความจำดีขึ้น
      
       และการศึกษาในเด็กที่มีอายุระหว่าง 4-18 ปี โดยให้รับประทานแคปซูลสารสกัดพรมมิวันละ 1 แคปซูล (ประกอบด้วยสารสกัดพรมมิมาตรฐาน 225 มก.) นาน 4 เดือนพบว่า พรมมิมีผลช่วยเพิ่มพัฒนาการในการเรียนรู้ของเด็กได้ เมื่อเทียบกับเด็กกลุ่มที่ได้รับยาหลอก
      
       นอกจากนี้ยังพบว่าการให้เด็กสมาธิสั้น (Attention Decit Hyperactivity Disorder) รับประทานสารสกัดพรมมิ ขนาด 50 มก. (ประกอบด้วย bacosides 20%) วันละ 2 ครั้ง มีผลช่วยให้เด็กมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ดีขึ้น
      
       และจากการศึกษาความเป็นพิษของพรมมิในอาสาสมัครสุขภาพดี โดยให้รับประทานสารสกัดพรมมิ (BacoMindTM) ขนาด 300 มก./วัน ติดต่อ 15 วัน และตามด้วยขนาด 450 มก./วัน อีก 15 วัน ไม่พบความเป็นพิษแต่อย่างใด แต่มีอาสาสมัครบางรายมีอาการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร และมีอาการคลื่นไส้
      
       การศึกษาผลของการรับประทานสารสกัดพรมมิ ต่อประสิทธิภาพของกระบวนการคิด การเรียนรู้ และการฟื้นฟูความจำในระดับคลินิกส่วนใหญ่ให้ผลในเชิงบวก และค่อนข้างปลอดภัย ดังนั้น สมุนไพรพรมมิจึงอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการใช้เป็นยาเพื่อบำบัดและฟื้นฟูผู้ป่วยที่มีภาวะความจำเสื่อมได้
      
       (จากสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)
      
       (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 142 ตุลาคม 2555 โดย เก้า มกรา)

เทรนด์โลกอนาคต “อาหาร” และ “ยา” แยกกันไม่ออก

ชี้เทรนด์โลกอนาคต “อาหาร” และ “ยา” แยกกันไม่ออก

ชี้เทรนด์โลกอนาคตอีกแค่ 5 ปีข้างหน้า “อาหาร” และ “ยา” จะเป็นสิ่งแยกกันแทบไม่ออก เพราะอาหารจะไม่มีไว้เพื่อให้กินอิ่มและอร่อยเท่านั้น แต่จะตอบสนองผู้บริโภคคามแนวคิด “ป้องกันดีกว่ารักษา” พร้อมชี้คนเรามักไม่รู้ตัวว่าขาดสารอาหารในกลุ่มเกลือแร่และวิตามิน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว จึงจำเป็นต้องการกิน “อาหารเสริม”

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) มีกำหนดจัดงานประชุมสัมมนาและนิทรรศการนานาชาติด้านอาหารในโลกอนาคต (InnovAsia 2001: Food in the Future: FIF2011) ระหว่างวันที่ 15-17 ก.ย.54 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจนวัตกรรมอาหารจากทั่วโลก ทั้งในทวีปยุโรปและเอเชียรวม 25 คน มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ภายในงาน พร้อมทั้งเผยมุมมองการพัฒนานวัตกรรมอาหารของโลกในศตวรรษที่ 21 อาทิ ตัวแทนจากศูนย์วิจัยอาหารไนโซ่ ประเทศเนเธอร์แลนด์, ตัวแทนจาก บริษัท เซเรบอส แห่งเอเชีย แปซิฟิก และตัวแทนจากบริษัท มารูเซน ฟาร์มาซูติคอล ญี่ปุ่น เป็นต้น

นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการ สนช. เผยถึงการจัดงานดังกล่าวแก่ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์และสื่อมวลชนว่า งานนิทรรศการอาหารในโลหอนาคตนี้จัดขึ้นทุกๆ 2 ปี โดยจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2552 และจะพยายามผลักดันให้งานดังกล่าวเป็นงานระดับนานาชาติ ซึ่งผู้เข้าชมงานน่าจะได้เห็นแนวโน้มของธุรกิจอาหารในอีก 5 ปีข้างหน้า ที่มีแนวโน้มว่าต่อไปในอนาคตนั้นอาหารและยานั้นแทบจะแยกจากกันไม่ออก

“ภายในงานจะได้เห็นนวัตกรรมอาหาร 4 กลุ่ม คือ กลุ่มอาหารเพื่อการควบคุมน้ำหนัก กลุ่มอาหารเพื่อการบำรุงสมอง ซึ่งตอนนี้กำลังมั่วๆ อยู่ เพราะมีเครื่องดื่มที่อ้างว่าดื่มแล้วฉลาด ดื่มแล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ซึ่งถ้าเราจะทำเรื่องนี้คงต้องมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ อีกกลุ่มคือกลุ่มอาหารต้านชรา ชะลอความแก่ และสุดท้ายคือกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน จะเป็นอาหารที่ช่วยเสริมเฉพาะด้าน ซ่อมแซมเฉพาะที่ เช่น บำรุงข้อ บำรุงสายตา เป็นต้น” ผู้อำนวยการ สนช. กล่าว

ทางด้าน ภก.ดร.พิสุทธ์ เลิศวิไล นายกสมาคมผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพและกรรมการสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย (FoSTAT) กล่าวในทำนองเดียวกับนายศุภชัยว่า ในอนาคตอาหารและยาจะเป็นสิ่งที่มาบรรจบกันและแยกจากกันไม่ออก เหมือนที่ปราชญ์ในอดีตเคยกล่าวไว้ว่า “จงอาหารเป็นยาและใช้ยาเป็นอาหาร” ซึ่งเห็นได้จากภูมิปัญญาจีนที่อาหารหลายอย่างใช้ประโยชน์ในทางยาด้วย ซึ่งแนวคิดแบบ “ป้องกันไว้ดีกว่าแก้” นั้นเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการอยู่แล้ว

ด้านภาพรวมของนวัตกรรมอาหารทั่วโลกนั้น ภก.ดร.พิสุทธ์กล่าวว่า ญี่ปุ่นมีตลาดอาหารสุขภาพที่ใหญ่มาก เพราะมีกฎหมายเฉพาะ ซึ่งสินค้าจะได้รับการรับรองต่อเมื่อผ่านการทดลองในมนุษย์แล้วปลอดภัยเท่านั้น ส่วนสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศเสรีนั้นสามารถอ้างสรรพคุณของอาหารได้อย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากผู้บริโภคอเมริกันนั้นฉลาดและแข็งแกร่งมาก หากสินค้าไม่ดีบริษัทจะถูกฟ้องจนล้มละลายได้ และในการกล่าวอ้างสรรพคุณเพื่อขอการรับรองจากหน่วยที่ควบคุมด้านอาหารและยานั้นต้องมีเอกสารที่พิสูจน์คุณสมบัติอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เสนอแก่หน่วยงานอย่างเพียงพอ ไม่ใช่ส่งเอกสารเพียง 2-3 แผ่นเพื่อขอการรับรอง

นายศุภชัยบอกด้วยว่า อาหารนั้นถือเป็นจุดเด่นของประเทศไทย ซึ่งต้องยอมรับว่าฐานของประเทศนั้นเป็นเกษตรกรรม หากจะขายสินค้าด้านซอฟท์แวร์หรืออิเล็กทรอนิกส์นั้นเราได้ค่าส่วนเหลื่อมการตลาด (Marketing margin) เพียงเล็กน้อย แม้มูลค่าที่ขายได้จะสูง แต่เมื่อหักลบต้นทุนแล้วเหลือส่วนต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงจำเป็นต้องหันกลับมามองจุดแข็งของประเทศ โดยแนวทางในการพัฒนานวัตกรรมอาหารจะเน้นไปที่การขายของเป็นกรัม ขายสารสกัด ซึ่งดีกว่าการขายข้าวเป็นเกวียนแล้วได้เงินแค่หมื่นกว่าบาท

“เราไม่อยากขายข้าวเป็นเกวียน ซึ่งถ้าเอาวิทยาศาสตร์เข้าไปจับเราจะเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรได้มหาศาล จากขายเป็นเกวียนก็เปลี่ยนมาขายเป็นกรัม อย่างน้ำมันรำข้าวมีต้นทุนเป็นบาทแต่ขายได้เป็นร้อย ซึ่งธุรกิจสารสกัดเป็นธุรกิจที่ สนช.ให้ความสำคัญมาก แต่ต้องสกัดให้ได้สารบริสุทธิ์ จริง” นายศุภชัยกล่าว และให้นิยามอาหารของโลกอนาคตว่า ไม่ใช่แค่อิ่มอร่อย แต่ต้องให้ผลดีในด้านสุขภาพ และต้องช่วยปรับสมดุลในร่างกายด้วย

ตัวอย่างผลงานเด่นที่จะนำเสนอภายในงาน อาทิ เครื่องดื่มผสมสารสกัดเซราไมด์ที่ได้จากสับปะรด ซึ่งมีประโยชน์ในด้านความงาม โดยช่วยให้เซลล์ผิวกระจ่างใสและได้รับความชุ่มชื้น นวัตกรรมอาหารเสริมจากญี่ปุ่น “คิวเอช” (QH) ซึ่งเป็นอีกรูปของโคเอนไซม์คิวเท็น (Q10) แต่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีกว่า โยเกิร์ตผสมสารสกัดช่วยให้แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของฟันผุตาย และสารให้รส “อูมามิ” หรือรสกลมกล่อมจากหอมหัวใหญ่ ซึ่งใช้แทนผงชูรสและเป็นวัสดุปรุงอาหารสำหรับผู้แพ้ผงชูรส เป็นต้น

อย่างไรก็ดี นวัตกรรมอาหารภายในงานนั้นเน้นที่อาหารเสริม ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ จึงสอบถามว่าการรับประทานอาหารเสริมนั้นมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ซึ่ง ภก.ดร.พิสุทธ์กล่าวว่า โดยปกติแล้วเรามักไม่ขาดสารอาหารในหมู่หลักๆ คือ โปรตีน ไขมันและคาร์โบไฮเดรต แต่มักจะขาดอาหารหมู่ย่อยคือเกลือแร่และวิตามิน ซึ่งในระยัสั้นอาจไม่ส่งผลอะไรมากนัก แต่ในระยะยาวจะมีผลกระทบอย่างแน่นอน ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีผู้สุงอายุหลายคนเป็นโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกผุ อันเกิดจากการขาดสารอาหารกลุ่มเกลือแร่และวิตามินที่จำเป็น ซึ่งเสื่อมสลายได้ง่ายจากการปรุงและการเก็บอาหารไว้นานๆ

“ถ้าร่างกายปกติ กินอาหารครบและออกกำลังกายเป็นประจำก็ไม่ต้องกินอาหารเสริมก็ได้ แต่คนเราจะมีช่วงที่ร่างกายแข็งแรงสูงสุดถึงอายุ 30 ปี หลังจากนั้นร่างกายจะเริ่มเสื่อมถอย สิ่งที่ควรทำคือควรดูแลให้การเสื่อมถอยช้าลง เริ่มจากการดูแลกินอาหารให้ครบ ออกกำลังกาย กินอาหารเสริมและดูแลสุขภาพจิต สำหรับการเลือกอาหารเสริมนั้นต้องดูความต้องการของแต่ละคน ซึ่งมีไม่เท่ากัน คนที่ต้องเดินถนน เจอมลพิษควรจะได้รับสารอาหารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี ซึ่งเป็นอาหารเสริมพื้นฐานและมีราคาถูก และง่ายที่สุดสำหรับทุกคนคือกินวิตามินและเกลือแร่รวม” ภก.ดร.พิสุทธ์กล่าว


ที่มา
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000116498

5 ปัจจัยเสี่ยง อัมพฤกษ์ อัมพาต

อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นโรคที่เป็นสาเหตุหลักในการคร่าชีวิตคนทั่วโลก โรคนี้สามารถเกิดได้กับคนทุกระดับทั้งจนและรวย ไม่เลือกหญิงหรือชาย โดยความเสี่ยงของเพศหญิงจะเพิ่มมากขึ้นหลังวัยหมดประจำเดือน
      
       • อัมพฤกษ์ อัมพาต คืออะไร
      
       อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นอาการของแขน ขา หรือหน้าซีกใดซีกหนึ่ง ชา อ่อนแรง หรือเคลื่อนไหวลำบาก หรือเคลื่อนไหวไม่ได้ อย่างทันทีทันใด เกิดขึ้นเนื่องจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองตีบตัน หรือแตก ทำให้เนื้อสมองขาดอาหารและออกซิเจน เนื้อสมองเสียหาย
      
       ถ้าไม่รีบรักษาเนื้อสมองจะตาย เกิดความเสียหายถาวรในที่สุด และเนื่องจากสมองเป็นศูนย์รวมของการสั่งการ การทำงานจองอวัยวะภายในร่างกาย เมื่อเนื้อสมองส่วนใดเสียหายหรือตาย ก็จะส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของอวัยวะภายใต้การควบคุมของสมองส่วนนั้น ซึ่งอาการที่พบได้บ่อย คือ อัมพฤกษ์ อัมพาต
      
       • สาเหตุของอัมพฤกษ์ อัมพาต
       และปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
      
       การเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต มีสาเหตุสำคัญมาจาก 3 ประการ คือ
       1. หลอดเลือดแดงสมองเสื่อม หรือหลอดเลือดแดงตีบแข็ง (Atherosclerosis) เกิดจากการสะสมของไขมันที่ผนังชั้นในหลอดเลือดแดง ส่งผลให้หลอดเลือดตีบ แข็ง สูญเสียความยืดหยุ่น ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดหลอดเลือดแดงเสื่อม เกิดจากการมีสิ่งแวดล้อม และวิถีการดำเนินชีวิตที่ไม่ส่งเสริมให้มีสุขภาพดี เช่น การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารไขมันสูง การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ หรือจากโรคที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภายในหลอดเลือดแดงที่สำคัญ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน
      
       2. หลอดเลือดแดงสมองอุดตันจากลิ่มเลือด หรือชิ้นส่วนของไขมันที่หลุดลอยมา ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจเกิดจากภาวะที่หัวใจห้องบนบีบตัวไม่เป็นจังหวะ (Atrial Fibrillation) โรคของลิ้นหัวใจ หรือภาวะหัวใจโต เป็นต้น
      
       3. หลอดเลือดแดงสมองแตก เมื่อเลือดออกมาก ก้อนเลือดจะกดเนื้อสมอง ทำให้เนื้อสมองขาดออกซิเจน ขาดอาหาร ถ้าได้รับการรักษาไม่ทัน เนื้อสมองจะตายในที่สุด ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิด คือภาวะความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้หรือไม่ดี
      
       • อัมพาตเกิดได้จาก
       หลายๆปัจจัยเสี่ยง ดังนี้
      
       1. การมีภาวะความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เพราะสามารถเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดอัมพาตได้ 3 เท่า เนื่องจากไปทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอ จึงเกิดการแตกได้
      
       ระดับความดันโลหิตที่ถือว่าสูงนั้น ต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 140 ซิสโตลิก และ/หรือ 90 ไดแอสโตลิก บางครั้งจะพบว่า ความดันโลหิตตัวบนสูงเพียงตัวเดียวเท่านั้น ก็คือว่าเป็นความดันโลหิตสูง ต้องควบคุมให้อยู่ในระดับปกติทั้งตัวบนและตัวล่าง
      
       ความดันโลหิตสูงมักไม่มีอาการให้เห็น คนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยทราบว่าเป็นความดันโลหิตสูงหรือไม่ ทุกคนจึงควรรู้จักระดับความดันโลหิตของตนเอง และรักษาให้อยู่ในระดับที่ปกติอยู่เสมอ
      
       2. การสูบบุหรี่ เป็นปัจจัยที่เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอัมพาตได้ถึง 2 เท่า บุหรี่มีผลทำลายอวัยวะต่างๆในร่างกาย เช่น ปอด หัวใจ และหลอดเลือด โดยลดปริมาณออกซิเจนในหลอดเลือด เพิ่มความหนืดของเลือด ทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี ไปเลี้ยงส่วนต่างๆไม่เพียงพอ โดยเฉพาะสมอง ทำให้เกิดอัมพาตได้
      
       3. การมีน้ำตาลในเลือดสูง จะทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้นและตีบแคบ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เกิดเป็นอัมพาตได้
      
       ระดับน้ำตาลในเลือดปกติเมื่ออดอาหารจะมีค่าอยู่ในช่วง 100-120 มก./ดล. ระดับน้ำตาลหลังอาหาร อยู่ในช่วง 80-160 มก./ดล. เราควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
      
       4. การมีไขมันในเลือดสูง ทั้งโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์จะทำให้เกิดเป็นก้อนไขมันเกาะติดกับผนังหลอดเลือด ทำให้ผนักหลอดเลือดหนาตัวแข็งขึ้นและหลอดเลือดตีบแคบ เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้เกิดเป็นอัมพาตได้
      
       5. นิสัยการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง เช่น การรับประทานอาหารในปริมาณที่มากเกินไป จนทำให้อ้วน การรับประทานอาหารที่มีเกลือและไขมันสูง การรับประทานอาหารจำพวกผักผลไม้น้อยเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นประจำจะไปทำให้เกิดปัญหาความดันโลหิตสูง ไขมัน และน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งจะมีผลเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตมากขึ้น
      
       • 5 สัญญาณเตือนภัย อัมพฤกษ์ อัมพาต
      
       การค้นพบอาการเริ่มแรกของการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต และรีบรักษาโดยเร็วมากขึ้นเท่าไร จะทำให้โอกาสเสียชีวิตหรือพิการลดลงมากขึ้นเท่านั้น
      
       อาการสำคัญที่สุดที่ควรให้ความสำคัญ และควรสังเกตอย่างสม่ำเสมอ มีดังนี้
      
       1. ชา หรืออ่อนแรงที่หน้า แขน หรือขา ซีกใดซีกหนึ่ง อย่างทันทีทันใด
      
       2. ความรู้สึกตัวเปลี่ยน (เอะอะ โวยวาย สับสน ซึมลง) หรือพูดลำบาก พูดไม่ได้ พูดไม่ชัด หรือไม่เข้าใจคำพูด อย่างทันทีทันใด
      
       3. มีปัญหาการมองเห็น ตามัว หรือเห็นภาพซ้อนของตาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง อย่างทันทีทันใด
      
       4. มีอาการมึนงง เวียนศีรษะ เดินไม่ได้ เดินลำบาก เดินเซ หรือสูญเสียการทรงตัวในการยืนและเดิน อย่างทันทีทันใด
      
       5. ปวดศีรษะอย่างรุนแรง อย่างทันทีทันใด โดยไม่ทราบสาเหตุ
       
       ถ้าพบอาการดังกล่าวข้างต้น ข้อใดข้อหนึ่งอย่างทันทีทันใด ให้สงสัยว่าอาจเป็นอาการเริ่มแรกของการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต ควรรีบไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาโดยเร็วภายใน 3 ชั่วโมง นับจากเริ่มมีอาการครั้งแรก
      
       ถึงแม้อาการดังกล่าวจะหายไป ก็ยังมีความจำเป็นต้องไปพบแพทย์ เนื่องจากอาการที่เกิดขึ้นนับเป็นสัญญาณเตือน ซึ่งเรียกว่า ภาวะ Transient ischemic attack (TIA) ภาวะนี้จะรุนแรงน้อยกว่าอัมพฤกษ์ อัมพาต มีอาการไม่เกิน 1 ชั่วโมง แล้วหายเองโดยไม่ต้องรับการรักษา
      
       แต่นับว่าเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญว่า ถ้าไม่รักษาจะเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตในเวลาต่อมา และอาการเตือนนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดล่วงหน้าในผู้ที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตทุกคน
      
       (ข้อมูลจากหนังสือคู่มือความรู้เรื่องอัมพาต สำหรับประชาชน โดยกรมควบคุมโรค)
      
       (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 143 พฤศจิกายน 2555 โดย กองบรรณาธิการ)